‘ทีทีบี’ ห่วงปีหน้าเศรษฐกิจเสี่ยงสูง ฉุดอสังหาฯ ยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง70%

“ทีทีบี” ชี้เศรษฐกิจไทยผันผวน-ความเสี่ยงซ้อนทับจากหลายด้าน ส่งผลให้ “ปัญหาหนี้ครัวเรือน” และ “ความเปราะบางทางการเงิน” ของประชาชนทวีความรุนแรงขึ้น ห่วง “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ไม่ฟื้นลากยาวถึงปีหน้า ยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง 70% เร่งปรับกลยุทธ์เจาะ “กลุ่มรายได้เกิน 7 หมื่นบาทขึ้นไป” มุ่งบ้าน-คอนโด 7-10 ล้านบาท หวังลดเสี่ยง
KEY
POINTS
- TTB ห่วงเศรษฐกิจปีหน้าจะเผชิญความเสี่ยงสูงจากหลายปัจจัยพร้อมกัน
- ทั้งภัยธรรมชาติ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่คาด
- ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะตลาดระดับล่างที่มีความเปราะบางสูง
- ทำให้ธนาคารต้องปรับกลยุทธ์ไปเน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน และคาดการณ์ว่าสินเชื่อบ้านใหม่ทั้งระบบจะหดตัว
- อัตราการปฏิเสธสินเชื่อพุ่งสูงถึง 60-70% เนื่องจากผู้ยื่นกู้ส่วนใหญ่มีความไม่พร้อมทางการเงินและมีภาระหนี้สินสูงเกินกว่าจะรับภาระหนี้ใหม่ได้
- ปัญหาหนี้ครัวเรือนและความเปราะบางทางการเงินของประชาชนทวีความรุนแรงขึ้น
- ชี้ผลสำรวจพบว่าคนไทยจำนวนมากมีสถานะการเงินที่น่าเป็นห่วง
ท่ามกลางภาพเศรษฐกิจที่ผันผวนและความเสี่ยงซ้อนทับจากหลายด้าน สะท้อนว่าปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ “เศรษฐกิจไทย” ต้องเผชิญแรงกระแทกหนักเกินคาด จากทั้งภัยธรรมชาติ ความไม่แน่นอนการเมือง ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ส่งผลให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและความเปราะบางทางการเงินของประชาชนทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิมได้อีกต่อไป และจำเป็นต้องเร่งปรับกลยุทธ์จากการขยายสินเชื่อ ไปสู่การ “ซ่อมร่างลูกหนี้” และปรับโครงสร้างหนี้อย่างจริงจัง เพื่อประคองทั้งลูกค้าและเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว
นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB กล่าวว่า หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ประเมินไว้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงต่างกันมาก ปีที่เคยตั้งเป้าให้เป็นปีแห่งการช่วยเหลือลูกหนี้
กลับกลายเป็นปีที่ความเสี่ยงหลายด้านถาโถมเข้ามาพร้อมกัน จนทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกระแทกหนักกว่าที่คิด และผลกระทบไม่ได้จบลงแค่ระยะสั้นแต่มีผลพวงต่อเนื่องลากยาวมาถึงปัจจุบัน
ความท้าทายสำคัญ “เศรษฐกิจ” รอบนี้ไม่ได้มาจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เกิดจากหลายปัจจัยที่เข้ามาพร้อมกัน และล้วนเป็นปัจจัยที่อยู่นอกการควบคุม ไม่ว่าจะเป็น ภัยธรรมชาติ สถานการณ์การเมือง หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทั้งในด้านภัยธรรมชาติ เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่
เช่น จังหวัดเชียงราย รวมถึงสถานการณ์ในหาดใหญ่ และเหตุแผ่นดินไหว ล้วนส่งผลโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่รายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่ทรัพย์สินเสียหาย แต่ลุกลามไปถึงโครงสร้างรายได้ของครัวเรือน ทำให้ลูกหนี้จำนวนมากที่เดิมประคองตัวอยู่ได้ เริ่มเข้าสู่ภาวะเปราะบาง
- “การเมือง”ความไม่แน่นอนต่อศก.
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันก็สร้างความไม่แน่นอนต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจ การตัดสินใจลงทุน และความเชื่อมั่นโดยรวม ซึ่งเมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองมาซ้อนทับกับปัจจัยลบอื่นๆ ก็ยิ่งทำให้ความเสี่ยงขยายตัว
นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นถึงสองรอบ ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิง Impact อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ดังนั้น ภายใต้บริบทเช่นนี้ ธนาคารไม่สามารถทำธุรกิจแบบเดิมได้อีกต่อไป สิ่งที่ต้องทำอย่างจริงจังคือการ “ปรับโครงสร้างหนี้” ไม่ใช่เพียงเพื่อประคองตัวเลข แต่เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้จริง โดยเฉพาะการรวมหนี้และการจัดการภาระหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ที่แท้จริง
- สุขภาพการเงินคนไทยเดี้ยง
โดยหากดูในภาคการเงินปัจจุบัน พบว่าสุขภาพการเงินของคนไทยน่าเป็นห่วงมากขึ้น โดยจากการสำรวจสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ซึ่งจากการทำแบบสำรวจสุขภาพทางการเงินของกลุ่มตัวอย่างกว่า 100,000 คน ทั้งพนักงานธนาคารและบุคคลทั่วไปพบว่าภาพรวมของคนไทย “น่าเป็นห่วงอย่างมาก”
ซึ่งพบว่า ในนี้มีกลุ่มคนที่ภาวะการเงินเข้าสู่โคม่าราว 5% ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ที่มีปัญหาหนี้สินรุนแรงจนไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
ถัดมาคือ 15% จากทั้งหมดเริ่มมีสัญญาณอันตราย เช่น การชำระหนี้สะดุด หรือรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในบางเดือน กลุ่มนี้อาจยังไม่ผิดนัดอย่างเป็นทางการ แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะทรุดตัวลง และอีกกลุ่มรายได้ชนเดือน มีราว 15% แม้จะยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ แต่ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ไม่มีเงินสำรอง และพร้อมจะไหลลงไปสู่กลุ่มสีส้มหรือสีแดงทันที หากมีปัจจัยลบมากระทบเพียงเล็กน้อย
ขณะที่ กลุ่มสีเขียว ซึ่งถือว่ามีสถานะการเงินปกติ มีอยู่เพียงประมาณครึ่งหนึ่ง หรือราว 50% เท่านั้น ภาพรวมนี้สะท้อนว่า คนไทยจำนวนมากอยู่ในโซนเสี่ยง โดยมีเพียงส่วนน้อยที่มีความมั่นคงจริง
- “อสังหาฯ”กลุ่มเปราะบางลากยาว
ทั้งนี้ หากดูภาพในเชิงลึกพบว่าหลายภาคส่วนระบบเศรษฐกิจ กำลังมีปัญหาสะสม ทั้งความเปราะบางในภาคอสังหาริมทรัพย์ และกับดักคอนโดขนาดเล็ก โดยกลุ่มนี้มีความเสี่ยงคงค้างคามาตั้งแต่ยุคก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19
ดังนั้น ธนาคารจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์โดยหันโฟกัสไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่เป็นระดับบนมากขึ้น เช่น บ้านราคา 7-10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะตลาดระดับล่างมีความเสี่ยงสูงมากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
“Safe Zone ที่แท้จริงในยุคนี้คือผู้ที่มีรายได้ประมาณ 70,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ซึ่งพอจะหายใจหายคอได้บ้างหากรายได้อยู่ในช่วง 30,000-50,000 บาท ถือว่ายังไม่พร้อมสำหรับการผ่อนบ้านในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน”
- อัตราปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง 70%
ทั้งนี้ ข้อมูลที่สะท้อนความตึงตัวของตลาด คือ อัตราการอนุมัติสินเชื่อในภาพรวมอยู่เพียง 30-40% เท่านั้น โดยในคน 10 คนที่ยื่นขอสินเชื่อ จะมีถึง 6-7 คนที่ถูกปฏิเสธ เนื่องจากความไม่พร้อมทางการเงินและภาระหนี้ที่สูงเกินไป
ในด้านเป้าหมายการเติบโตธุรกิจรายย่อยในปี 2569 ในส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารยังประเมินว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ใหม่ยังคงชะลอตัว จากปี 2568 คาดว่าสินเชื่อบ้านใหม่ทั้งระบบหดตัว -4%
โดยในส่วนของทีทีบีหดตัว -2% จากยอดสินเชื่อคงค้างปัจจุบันอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท แต่ในส่วนของสินเชื่อบ้านใหม่ธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อขยายตัว 1-2%
สำหรับ ตลาดรถยนต์ปีนี้ปัจจัยบวกสำคัญคือกระแส EV 3.0 และ 3.5 ซึ่งช่วยให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ทำ New High จากมาตรการภาษีและการลดราคาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่น่าสนใจคือคุณภาพลูกหนี้ในกลุ่มรถ EV โดยเฉพาะรถ EV จากจีนพบว่ามีคุณภาพใกล้เคียงกับลูกค้าที่เคยซื้อรถญี่ปุ่นระดับบน เช่น CRV หรือ HRV ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและความเสี่ยงต่ำ
แต่ตลาดรถกระบะยังขยายตัวได้ไม่ดี เนื่องจากผูกพันกับภาคการเกษตร ซึ่งเผชิญความเสี่ยงจากน้ำท่วมและปัจจัยเศรษฐกิจอื่น ๆ ทำให้กำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว
“สงครามราคารถ EV ในปีหน้าจะเริ่มนิ่งหรือ Stable มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้ผู้บริโภคที่ลังเลตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่แม้สินเชื่อใหม่จะเติบโตได้ราว 10% สินเชื่อคงค้างในภาพรวมของอุตสาหกรรมยังมีแนวโน้มลดลง เพราะยอดการชำระคืนหนี้เก่ายังสูงกว่าการก่อหนี้ใหม่”
ภาพรวมยอดสินเชื่อคงค้างรถยนต์ทั้งอุตสาหกรรมปี 2569 ประเมินว่า ยังปรับลดลง เพราะว่าอัตราการปล่อยสินเชื่อใหม่ยังไม่ได้สูงกว่าสินเชื่อชำระคืน (Re-Payment) เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีก่อนปล่อยสินเชื่อใหม่ค่อนข้างสูง ทำให้ยอดชำระหนี้คืนยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างยังลดลง
แต่ในปี 2569 ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่จะขยายตัวดีขึ้น ส่งผลยอดสินเชื่อคงค้างการลดลงน้อยลง
ซึ่งในส่วนของธนาคารตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อปล่อยใหม่ราว 10% จากยอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 3.5-3.6 แสนล้านบาท
สุดท้ายแล้วมองว่า ภายใต้ปัญหา “หนี้” ที่ยังคงอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง มองว่ากลยุทธ์ของ TTB จึงไม่ได้มุ่งเน้นแค่การปล่อยกู้ใหม่แต่คือการ “ซ่อมร่าง”ลูกหนี้ ผ่านโครงการโค้ชปลดหนี้ และการผลักดันให้ลูกค้าเข้าสู่ระบบรีไฟแนนซ์ที่ช่วยลดภาระดอกเบี้ยในระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ไหลลงไปสู่กลุ่มสีแดง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด







