ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกเกอร์ ใน12 เดือนข้างหน้ายังเผชิญแรงกดดัน คาดปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ เหตุปริมาณการซื้อขายหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในอดีต

KEY

POINTS

  • ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยส่วนใหญ่มีผลประกอบการที่อ่อนแอลงในปี 2567 และ ไตรมาส 1 ของปี 2568 เนื่องจากภาวะตลาดที่ซบเซา ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ สินเชื่อเพื่อการซื้อหลักทรัพย์ (Margin loan) และ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking) ปรับตัวลดลงอย่างมาก
  • ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า รายได้และกำไรของกลุ่มหลักทรัพย์ น่าจะยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ เนื่องจากความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า สภาพเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ ซึ่งน่าจะทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าในอดีต อย่างไรก็ดี บริษัทที่มีการกระจายรายได้โดยพึ่งพารายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่ไม่สูงมาก น่าจะยังสามารถประคับประคองผลประกอบการให้มีกำไรได้ 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด  เปิดเผยว่า ปี 2567 ผลขาดทุนด้านเครดิตกดดันผลประกอบการของอุตสาหกรรม: ในปี 2567 กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ทั้งอุตสาหกรรมรายงานขาดทุนสุทธิ 2.87 พันล้านบาท เทียบกับกำไร 3.76 พันล้านบาทในปีก่อนหน้า สาเหตุหลักจากบริษัทหลักทรัพย์บางแห่งที่มีการขยายฐานสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin loan หรือ Credit Balance) อย่างรวดเร็วและขาดความระมัดระวังเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ที่ใช้เป็นหลักประกันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ส่งผลให้ต้องตั้งสำรองในระดับที่สูง เกิดผลขาดทุนอย่างหนักจนต้องประกาศยุติให้บริการ Margin loan อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์อื่นๆ ส่วนใหญ่ มีความระมัดระวังโดยมีการคัดเลือกและจำกัดจำนวนหลักทรัพย์ที่ให้กู้ยืม จึงไม่มีค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นมาก โดยยังสามารถรักษาผลกำไรได้ โดยเฉพาะบริษัทที่มีการกระจายรายได้ที่ดีและพึ่งพารายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่สูงเกินไป

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 (1Q68) ผลขาดทุนด้านเครดิตปรับตัวมาอยู่ระดับปกติ อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ลดลง 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 920 ล้านบาท โดยรายได้รวมลดลง 8% ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการลงทุนที่หดตัวลง 34% เนื่องจากรายการขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนที่สูงถึง 3.9 พันล้านบาทใน 1Q68 จากสภาวะตลาดที่ SET Index มีการปรับตัวลดลงอย่างมากและต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้รวม (Cost-to-Income Ratio) ในปี 2567 ทรงตัวเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 70.8% จากรายได้ที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่ค่าใช้จ่ายยังทรงตัว สำหรับ 1Q68 แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะปรับลดลงแต่รายได้โดยรวมปรับลดลงมากกว่า ทำให้ Cost-to-Income ปรับตัวขึ้นมาที่ 71.5% ซึ่ง ทริสเรทติ้งมองว่าอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกจากรายได้ที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องขณะที่ความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายเริ่มมีจำกัด

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงต่อเนื่อง: ในปี 2567 รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 11% จากปริมาณการซื้อขายที่ลดลง โดยในปี 2567 มูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันลดลงมาอยู่ที่ 45 พันล้านบาท จาก 51 พันล้านบาทในปี 2566 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มอ่อนแอและการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และข้อมูลล่าสุดของปีนี้ ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ประมาณ 43 หมื่นล้านบาท

รายได้จาก Margin loan และ IB ปรับตัวลดลง: รายได้จากการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin loan) ในปี 2567 ปรับตัวลดลง 15% ขณะที่ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 (1Q68) ลดลงถึง 31% ซึ่งโดยเฉลี่ยมูลค่าซื้อขายบัญชีมาร์จิ้นต่อมูลค่าซื้อขายของลูกค้าในประเทศเคยขึ้นไปแตะถึงประมาณ 20% แต่ในปี 2568 ลดลงมาอยู่ที่ 12% ณ สิ้นเดือนเม.ย. 2568 ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาดที่ขาดปัจจัยสนับสนุนทำให้ปริมาณการใช้สินเชื่อใหม่เพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

นอกจากนี้ ยังมีการบังคับขายหลักประกัน (Force sell) หลังจากราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปีที่ผ่านมา รวมถึงช่วง 1Q68 ประกอบกับความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของบริษัทหลักทรัพย์หลังจากที่มีหนี้เสียจำนวนมาก

ในส่วนของรายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment banking - IB) ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยในปี 2567 และใน 1Q68 ลดลง 24% และ 17% ตามลำดับ สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุนที่ซบเซาและการขาดความเชื่อมั่นจากการที่ราคาหลักทรัพย์หลายตัว ปรับตัวลดลงอย่างมากหลัง IPO ทำให้บริษัทที่ต้องการระดมทุนในตลาดทุนต้องเลื่อนแผนการระดมทุนออกไป

แนวโน้มใน 12 เดือนข้างหน้า: ยังคงเผชิญแรงกดดัน

รายได้และกำไรมีแนวโน้มลดลง: ริสเรทติ้งคาดการณ์ว่ารายได้และกำไรของบริษัทหลักทรัพย์ในปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้วยปริมาณการซื้อขายที่น่าจะชะลอตัวลงจากปี 2567 เนื่องจากรายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์

แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาสแรกของปี 2568 จะลดลงเพียง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ทริสเรทติ้งมองว่าในช่วงที่เหลือของปีปริมาณการซื้อขายน่าจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก นอกจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐแล้ว สภาพเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอเนื่องจากการขาดปัจจัยขับเคลื่อน ประกอบกับความไม่แน่นอนทางการเมือง น่าจะทำให้ตลาดไทยยังคงขาดความน่าสนใจ แม้มูลค่าตลาดปัจจุบันที่รายงานโดยตลาดหลักทรัพย์จะอยู่ในระดับที่ต่ำ โดยมีค่า

P/E ตลาด ที่ 15.7 เท่า ณ เดือน พ.ค. 2568 จาก 19.3 เท่า ณ สิ้นปี 2567 เทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาคที่ P/E ตลาดใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่าแต่มีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของปริมาณการซื้อขายอาจจะเป็นไปได้ หากการเจรจาทางการค้าของสหรัฐและไทยเป็นไปในทิศทางที่เป็นบวก และส่งผลให้เศรษฐกิจยังสามารถเติบโตได้มากกว่าที่ตลาดคาด อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับมาให้ความสนใจตลาดไทยหลังจากที่มียอดขายสุทธิมาตลอดหลายปี

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

รายได้จากการซื้อขายหน่วยลงทุนเป็นตัวช่วย: แม้ว่ารายได้ส่วนอื่นๆ จะปรับตัวลดลงและมีแนวโน้มที่ไม่สดใสนัก กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์มีการกระจายรายได้ไปสู่รายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน ซึ่งในปี 2567 เติบโตถึง 52% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 30% ใน 1Q68 เทียบกับ 1Q67 ทำให้รายได้จากธุรกิจตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนมีสัดส่วนต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 9%ใน 1Q68 จาก 4% ในปี 2565 โดยการเสนอขายหน่วยลงทุนที่ออกโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งที่บริษัทเป็นตัวแทน

ข้อน่าสังเกต คือ ปัจจุบันหน่วยลงทุนประเภท Exchange Traded Fund (ETF) ที่อ้างอิงดัชนีต่างๆ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจาก ETF เป็น “ทางสายกลาง” ระหว่างหุ้นรายตัวกับกองทุนรวมทั่วไป ที่รวมข้อดีของทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน คือ ซื้อขายผ่านตลาดหุ้นได้ตลอดวัน (Real-time) และกระจายความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน ซึ่ง ETF เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมรายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขาย รวมทั้งในบางกรณีมีส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการจัดการกองทุน หรือจากการแนะนำลูกค้าเข้ากองทุนด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับ ETF ในประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นแต่น่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุน LTF สามารถสับเปลี่ยนไปยังกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) ภายในช่วงระยะเวลา 2 เดือน (พ.ค. - มิ.ย.) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น ทริสเรทติ้งมองว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายหน่วยลงทุน Thai ESGX อาจจะเป็นผลบวกต่อบริษัทหลักทรัพย์ แต่ไม่น่าจะมีนัยสำคัญ

ประการแรก นักลงทุนบางส่วนอาจไม่เห็นประโยชน์จากการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เนื่องจากสิทธิลดหย่อนภาษีอาจไม่จูงใจพอ (สูงสุด 500,000 บาท แบ่งเป็น 300,000 บาท ในปี 2568 และอีก 200,000 บาททยอยใช้สิทธิในปีที่ 2-5 จำนวนปีละไม่เกิน 50,000 บาท) และแม้ว่าจะสามารถซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน Thai ESGX เพิ่มเติมได้อีก 300,000 บาท (ไม่เกิน30% ของรายได้) แต่การต้องถือครองเป็นเวลานานถึง 5 ปี อาจไม่เป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน

ประการที่สอง การโอนย้ายภายในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เดียวกันจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งคาดว่านักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะโยกหน่วยลงทุนภายใน บลจ. เดียวกันมากกว่าเพื่อประหยัดค่าธรรมเนียม กรณีที่จะเป็นผลบวกต่อบริษัทหลักทรัพย์คือการโยกไปเข้า Thai ESGX ของ บลจ. อื่น ซึ่งนักลงทุนจะต้องจ่าย Front-end fee โดยบริษัทหลักทรัพย์จะได้ส่วนแบ่งจาก บลจ. ที่ออกกอง Thai ESGX และระหว่างทางอาจจะได้ส่วนแบ่ง Management fee อย่างไรก็ตามสัดส่วนค่าธรรมเนียมดังกล่าวไม่น่าจะสูงมากนัก

รายได้จาก Margin loan และ ธุรกิจ IB ยังอ่อนแอ: ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ทั้งจาก Margin loan และ ธุรกิจ IB ยังไม่น่าจะเติบโตในครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่กดดันรายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ เนื่องจากรายได้จาก Margin loan และ IB ในอดีตมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 18%-20% ของรายได้รวม แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 13% บริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่น่าจะยังคงเข้มงวดและระมัดระวังในการปล่อยกู้มาร์จิ้นมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งหลีกเลี่ยงการปล่อยกู้แก่เจ้าของกิจการที่จดทะเบียนในตลาดที่นำหุ้นของตนมาเป็นหลักประกัน ซึ่งทำให้เกิดผลขาดทุนด้านเครดิตที่สูงในช่วงที่ตลาดปรับตัวลงแรง

อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจ IB บริษัทหลักทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้าน IB ยังคงสามารถชดเชยรายได้จาก IPO ที่ลดลงโดยให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินหรือการปรับโครงสร้างธุรกิจ

ทริสเรทติ้ง ส่องธุรกิจโบรกปี 68 คาด’รายได้- กำไร‘ แนวโน้มลดลงต่อ

ปัจจัยเสี่ยง (Risk Factors)

ธุรกิจกลุ่มหลักทรัพย์เผชิญความเสี่ยงหลัก ได้แก่ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk):ความเสี่ยงด้านตลาดเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหลักทรัพย์ที่บริษัทถือครองไว้ ซึ่งโดยลักษณะธุรกิจของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์มักมีพอร์ตการลงทุนขนาดค่อนข้างใหญ่เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ เช่น การซื้อขายเพื่อเก็งกำไร การถือครองเพื่อบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้รายได้หลักของกลุ่มหลักทรัพย์ กว่า 30% ของรายได้รวม

ในช่วง 9M67 มาจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเคลื่อนไหวของตลาดทุนความเสี่ยงด้านตลาดจึงส่งผลกระทบโดยตรงและมีนัยสำคัญต่อกำไรและสถานะทางการเงินของบริษัท

ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): ในสภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย บริษัทหลักทรัพย์อาจเผชิญความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าบัญชีเงินสด และลูกค้าบัญชีเครดิตบาลานซ์ ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงดังกล่าวสามารถลดทอนได้ใระดับหนึ่งด้วยการใช้หลักทรัพย์ในบัญชีเป็นหลักประกัน และการกำหนดวงเงินการซื้อขายหลักทรัพย์ให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า

ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk): แม้ว่าการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ธุรกิจหลักทรัพย์ยังต้องพึ่งพาบุคลากรในการให้คำแนะนำด้านการลงทุน ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากการทำงานได้ง่าย เช่น การแนะนำการลงทุนที่ไม่เหมาะสม และการปฏิบัติงานที่ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบ

ทั้งนี้ ความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของบุคลากรในบางกรณีอาจนำไปสู่การละเมิดกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องเสียค่าปรับ ถูกยกเลิกใบอนุญาต หรือการถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ซึ่งอาจกระทบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ความเสียหายต่อชื่อเสียงที่เกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าวยังอาจทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย (Regulatory Risk): ธุรกิจหลักทรัพย์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงานคณะกรรมการ(ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทในการออกและปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อสร้างความโปร่งใสและเสถียรภาพในตลาดทุน

การปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องเผชิญภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านการปรับปรุงระบบงาน การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ และการฝึกอบรมบุคลากร หากบริษัทไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลา อาจนำไปสู่การถูกปรับ การจำกัดขอบเขตการดำเนินงาน หรือแม้กระทั่ง การถูกเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งส่งผลเสียต่อฐานะทางการเงินและความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ