ที่สุดตลาดหุ้นไทยปี 2568 มรสุมฉุดรั้ง “ผลตอบแทนติดลบ”

ปี 2568 กลายเป็นช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญมรสุมปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวกและยังเกิดความไม่แน่นอน ความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจัยเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย จนส่งผลต่อความกังวลใจการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียน
ดังนั้นภาพตลาดหุ้นปี 2568 จึงเป็นอีก “ปีที่บอบช้ำจากผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ติดลบรั้งท้ายตลาดหุ้นโลก” สภาพคล่องลดลงอย่างมีนัยสำคัญ กำไรบจ. ปรับตัวลดลง และนักลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนลงทุนลดลงเช่นกัน
@ ภาษีทรัมป์ –การเมืองไทย พลิกผันหุ้นไทย
ทั้งปี 2568 ปัจจัยเศรษฐกิจที่ปกคลุมตลาดหุ้นไทยจนทำให้ไม่ไปไหนหนีไม่พ้นเรื่องประเด็นใหญ่ของปี เริ่มตั้งแต้ต้นปีหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้ ประกาศเพิ่มภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ทุกประเทศ ที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐแบบโนสนโนแคร์ในอัตราสูง ปริ๊ดเพื่อพุ่งเป้าหมายไปที่ “จีน” ในฐานะประเทศที่เกินดุลสหรัฐมากที่สุด
รวมถึงไทยเจอไป 39 % มีเส้นตายการเจรจา 1 ส.ค.2568 ส่งผลทำให้จากบรรยากาศตลาดหุ้นที่มีความหวังด้วยดัชนีเปิดปี 2568 ที่ 1,402 จุดเจอผลกระทบดังกล่าวลุกลามเป็น"สงครามการค้ากระทบกำไร บจ." จนทำให้เพียงช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 นักลงทุนต่างชาติถอนเงินลงทุนออกจาก 4 ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รวมกันแล้วถึง 4,160 ล้านดอลลาร์ (กว่า 1.4 แสนล้านบาท)
ปัจจุบันการเจรจาปรับตัวเลขภาษีคิดกับไทยลงมาที่ 19 % ใกล้เคียงกับภูมิภาคแต่ยังเป็นการเปิดปฐมบทการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงจากการโยกย้านเงินลงทุน ฐานการผลิต และแผนธุรกิจเพื่อเลี่ยงประเทศเจอภาษีในระดับที่สูง
ขณะที่ ช่วงกลางปี การเมืองเข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้นมากขึ้น เมื่อมีการเปลี่ยนตัวนายกปีเดียวกันถึง 3 คน จาก “เศรษฐา ทวีสิน” เป็น “แพทองธาร ชินวัตร” จนเกิดความเชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจจนทำให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถแตะระดับสูงสุดในรอบปีที่ 1,320 จุด ต้องเผชิญอุบัติเหตุทางการเมืองมีคลิปเสียงพูดคุยปมชายแดนกับผู้นำกัมพูชา จนทำให้ต้องหลุดจากตำแหน่งตามคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลดัชนีหุ้นไทยร่วงที่ 1,238.98 จุด และกลายเป็น “อนุทิน ชาญวีรกูล” จัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงข้างน้อยมีอายุเพียง 4 เดือนก่อนจะประกาศยุบสภาเดือนธ.ค.
@ ปี “ทอง-แร่โลหะ” ชิวแชมป์ผลตอบแทน
ยกให้เป็น “ปีทอง” ของ ทองคำและบรรดาแร่โลหะมีค่า ขึ้นแท่นทำผลตอบแทนสูงสุดแบบไร้คู่แข่ง ด้วยผลตอบแทนที่ทิ้งห่างแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทำให้สินทรัพย์ประเภทโลหะที่ไม่เคยอยู่ในสายตาเพื่อลงทุนหรือเก็งกำไรกลายเป็น 1 ใน สินทรัพย์พอร์ตลงทุนไปโดยปริยาย โดยราคาแพลตินัมผลตอบแทน 160% โลหะเงินพุ่งขึ้นมากกว่า 150% และพัลลาเดียมพุ่งขึ้นกว่า 100%
ยอดนิยมและมูลค่ามหาศาล ยกให้กับ “ราคาทองคำ” ได้โชว์ผลงานติดโบว์แดงไปด้วย ผลตอบแทนตลอดทั้งปี 2568 ที่ 70 % ราคาทองโลกทำสถิติออลไทม์ไฮเป็นว่าเล่นถึง 50 ครั้งตั้งแต่ราคาแตะ 3,500 ดอลาร์ขึ้นไปทะลุ 4,500 ดอลลาร์
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศก็ไม่น้อยหน้าเพราะราคาสิ้นปี 2567 ที่ 42,000 บาทต่อบาททองคำ เพียงแค่เม.ย. ราคาเห็น 54,000 บาทต่อบาททองคำ ยังเป็นขาขึ้นต่อทะลุ 60,500 บาทต่อบาททองคำ จนไปทำราคาสูงสุดที่ 67,400 บาทต่อบาททองคำ พร้อมกับการย่อตัวลงจากการทำกำไรแต่สิ้นปี 2568 ราคาทองคำกลับไปแตะ 66,500 บาทต่อบาททองคำ
ท่ามกลางแรงขับเคลื่อนสำคัญกลุ่ม ธนาคารกลางทั่วโลกแห่เก็บทองคำเข้าพอร์ต โดยรายงานจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่าธนาคารกลางยังคงสถานะเป็นผู้ซื้อสุทธิ (Net Buyer) คือมีจำนวนการซื้อทองเข้ามามากกว่าที่ขายออก ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 15
โดยมี "ธนาคารกลางของจีน" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการเดินหน้าสะสมทองคำเข้าเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างแข็งขัน การเข้าซื้อปริมาณมหาศาลนี้สะท้อนความเชื่อมั่นในทองคำฐานะสินทรัพย์ที่มั่นคง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการโดยรวมสูงกว่าอุปทาน ช่วยพยุงให้ราคาทองคำยืนอยู่ในระดับสูงได้อย่างแข็งแกร่ง
@ ตลาด“ไอพีโอ” วูบ - ระดมทุนชะงัก
ตลาดหุ้นไทยเผชิญ “แรงกดดันด้านการระดมทุนที่ทำสถิติลดลงอย่างน่าใจหาย” จากอดีตตลาดหุ้นไทยเป็นแหล่งระดมทุนอันดับต้นๆ ในเอเชียอย่างต่อเนื่องระดับแสนล้านบาท ปรากฎในปี 2568 ตลาดการระดมทุนเสมือนปิดตายด้วย "
รวมไปถึงการตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการตั้งราคาและจัดสรรหุ้นไอพีโอที่ไม่เหมาะสมกับสภาพภาวะตลาดหุ้น จากตลอดปี 2568 มีไอพีโอรวม 18 บริษัท แบ่งเป็น SET 6 บริษัท และ MAI 12 บริษัท มีมูลค่าการระดมทุน 8,991.70 ล้านบาท มูลค่าเสนอขาย 13,293.24 ล้านบาท และมีมูลค่ามาร์เก็ตแคป 77,759.68 ล้านบาท โดยเป็นตัวเลขที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากก่อนหน้านี้มูลค่ามาร์เก็ตแคประดับแสนล้านบาท
กลายเป็นตลาดที่พัฒนาแล้วแซงหน้าการระดมทุนในปีนี้ด้วยจำนวนและมูลค่าในรอบ 11 เดือนแรกปี 2568 ทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่น 5,554 ล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นฮ่องกง 5,434 ล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 2,913 ล้านดอลลาร์ หรือตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกันตลาดหุ้นมาเลเซีย 1,050 ล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 930 ล้านดอลลาร์ ตลาดหุ้นเวียดนามมูลค่า 413 ล้านดอลลาร์
@ JKN กระบวนการทุจริตเย้ยกฎหมาย
ส่งท้ายปี 2568 ด้วย คดีทุจริตที่ไร้ซึ่งการยำเกรงกฎหมาย หรือหน่วยงานกำกับตลาดทุนจนเกิดความเสียหายที่ฉุ
ความตื่นตะหนก “เบี้ยวหนี้หุ้นกู้” ตั้งแต่ปี 2566 จำนวน 7 ชุด รวมมูลค่า 3,300 ล้านบาท จนขอยื่นฟื้นฟูกิจการกับศาลล้มละลายช่วงกลางปี 2566 แบบเร่งด้วยภายใน 2 วัน และศาลล้มละลายกลางรับพิจาณาคำร้องทันทีด้วยการนัด 29 ม.ค. 2567 ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวทำให้ JKN ได้รับความคุ้มครองจากศาลในการดำเนิน
หลังจากนั้นจึงเป็นการ นำไปสู่การตรวจ
ดังนั้นจึงมีการกล่าวโทษ “แอน”จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และ “พิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์” เป็นน้องสาว สร้างรายการเจ้าหนี้ปลอมและลูกหนี้ปลอมตกแต่งบัญชี งบการเงินงวดประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567
หากแต่ก่อนหน้านี้ปี 2567 “แอน”จักรพงษ์ ดำเนินการขายหุ้น
จนจิ๊กซอชิ้นสุดท้ายทำให้“แอน”จักรพงษ์ ต้องหนี้ปัญหาคดี-หนี้สิน และเจ้าหนี้ ไว้ในไทยและออกนอกประเทศด้วยกระแสข่าวโอนสัญชาติและหอบเงิน 6,000 ล้านบาทผ่านคริปโท
ความตื่นตระหนกของเคสนี้คือระยะเวลาตั้งแต่ปี 2566-2568 ผู้กระทำความผิดกลับใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายมาเหนือเมฆทำให้ลอยตัวจากปัญหาเพื่อหาช่องทางหลบหนี พร้อมทิ้งความเสียหายไว้ในตลาดหุ้นจากการที่ถูกเพิกถอนหุ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568







