ไทยเข้าสู่ยุค ‘เงินฝืดจากหนี้’ วงจรงูกินหาง ที่ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น

ไทยเข้าสู่ยุค ‘เงินฝืดจากหนี้’ วงจรงูกินหาง ที่ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น

ปี 2568 เศรษฐกิจไทยเห็นรอยร้าวใต้ฐานรากชัดเจนขึ้น คือ ‘เงินฝืดจากหนี้’ Debt Deflation ที่กำลังเป็น ‘วงจรงูกินหาง’ ที่ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น สัญญาณเตือนเพื่อกระตุ้นให้ GDP เติบโตเร็วกว่า ‘ดอกเบี้ย’

ในโลกของเศรษฐศาสตร์ ไม่มีวงจรใดที่น่าสะพรึงกลัวไปกว่าการที่กลไกขับเคลื่อนกลายเป็นกลไกทำลายล้างเสียเอง

ปี 2568 ที่ผ่านมาเป็นภาพที่ย้ำชัดว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า “เงินฝืดที่เกิดจากหนี้” (Debt Deflation) ซึ่งเปรียบเสมือน “งูกินหาง” ที่ยิ่งพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากการถูกพันธนาการด้วยหนี้ กลับยิ่งบีบคั้นให้ร่างกายคือระบบเศรษฐกิจโดยรวมต้องอ่อนแรงลงจนอาจไปถึงจุดวิกฤติ

เมื่อ ‘หนี้’ กลายเป็น ‘เงินฝืด’

ภาวะเงินฝืดจากหนี้ไม่ใช่เพียงแค่การที่ราคาสินค้าลดลง แต่มันคือสภาวะที่ “กำลังซื้อเหือดหาย” อย่างรุนแรง เมื่อรายได้ของประชาชนเติบโตไม่ทันภาระหนี้สินที่พอกพูน สิ่งที่เกิดขึ้นคือการ “ประหยัดจนเศรษฐกิจพัง” ประชาชนต้องหยุดใช้จ่ายเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ หรือต้องยอมขายสินทรัพย์ เช่น บ้านหรือรถ เพื่อรักษาประวัติทางการเงิน

วิจัยกรุงศรีเผยให้เห็นสิ่งที่น่ากังวลคือ สภาวะ “ความมั่งคั่งที่หดตัว” โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย หรือมีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท/เดือน ที่มูลค่าสินทรัพย์หายไปเฉลี่ยถึง 82,294 บาทต่อปี ทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่มั่นคงและยิ่งไม่กล้าใช้จ่าย ส่งผลให้เครื่องยนต์การบริโภคดับสนิทลงเร็วยิ่งขึ้น

ไทยเข้าสู่ยุค ‘เงินฝืดจากหนี้’ วงจรงูกินหาง ที่ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น

สัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนคือ สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่พุ่งสูงถึง 87% ในปี 2568 ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่ขนาดของหนี้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ตัวหาร” หรือ GDP ของไทยที่เติบโตต่ำเกินไป จนทำให้กับดักหนี้ครั้งนี้รัดตัวแน่นกว่าครั้งไหนๆ

‘วงจรงูกินหาง’ กับดักที่ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น

เมื่อระบบเศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะ Non-Productive Deleveraging หรือการลดหนี้ที่ไม่สร้างผลิตผล วงจรนี้จะกัดกินตัวเองเป็นทอดๆ  

สัญญาณเตือนภัยชัดเจนขึ้นเมื่อกลุ่มหนี้ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน (SM) และหนี้เสีย (NPL) พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคการบริโภคที่ทำสถิติสูงกว่าช่วงวิกฤตโควิด-19

เมื่อธนาคารมองเห็นความเสี่ยง จึงเลือก  “ปิดประตู”  การพิจารณาปล่อยสินเชื่อยิ่งเข้มงวดขึ้นและลดการปล่อยสินเชื่อใหม่ โดยตัวเลขสินเชื่อภาคครัวเรือนที่เริ่มติดลบตั้งแต่กลางปี 2566 คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกว่าฟันเฟืองทางการเงินเริ่มติดขัด

สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่านั้น คือ มูลค่าของสินทรัพย์ที่ลดลงทำให้ครัวเรือนขาด "กันชนทางการเงิน" (Financial Buffer) เมื่อไม่มีทรัพย์สินค้ำประกันความเสี่ยงในยามวิกฤติ เมื่อมูลค่าทรัพย์สินลดลง ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบก็ยากขึ้นเพราะไม่มีหลักประกันที่น่าเชื่อถือ บีบให้คนต้องหันไปพึ่งพา “ออกซิเจนสำรอง” ที่มีราคาสูง เช่น โรงรับจำนำและสหกรณ์ออมทรัพย์ หรือเลวร้ายที่สุดคือ “หนี้นอกระบบ” เพื่อประคองการใช้ชีวิตในแต่ละวัน สะท้อนถึงการขาดแคลนสภาพคล่องอย่างรุนแรงในระดับจุลภาค

ไทยเข้าสู่ยุค ‘เงินฝืดจากหนี้’ วงจรงูกินหาง ที่ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น

ทว่าสถาการณ์นี้กลายเป็นจุดจบของแรงขับเคลื่อนกระแสเงินในระบบเศรษฐกิจ เมื่อคนไม่มีเงินและเข้าไม่ถึงสินเชื่อ “การบริโภค” ที่เป็นเครื่องยนต์หลักของ GDP ก็ดับสนิท ส่งผลให้ธุรกิจขาดรายได้ และย้อนกลับมาทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนลดลงไปอีก สู่ “วงจรงูกินหาง” ที่ไม่มีวันจบสิ้น

ตัดวงจรงูกินหาง ก่อนจะสายเกินไป

เมื่อนโยบายการคลังอาจเผชิญข้อจำกัดจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าในช่วงรอยต่อทาง “การเมือง” นโยบายการเงินจึงเปรียบเสมือน “เครื่องช่วยหายใจ” สุดท้าย 

สถิตย์ แถลงสัตย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจสัมพันธ์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย คาดการณ์ว่าปี 2569 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทย “ตกท้องช้าง” ขยายตัวเพียง 1.8% จากปัจจัยภายนอกซ้ำเติมอย่างรุนแรงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว

 รวมทั้งแรงส่งจากการส่งออกที่ลดลง จากการเร่งส่งออกล่วงหน้าในปี 2567  และนโยบายการคลังที่อาจหยุดชะงักชั่วคราวจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ในขณะที่ “ค่าเงินบาทที่แข็งค่า”  เป็นกำแพงสูงที่กั้นขวางรายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออก

ดังนั้น เมื่อเครื่องยนต์ทางการคลังอ่อนแรง นโยบายการเงินจึงต้องรับบท “หน่วยกู้ชีพ” ด้วยการ "ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย" เพื่อคลายเชือกที่รัดคอลูกหนี้ ให้ลูกหนี้เดิมมีกระแสเงินสดเหลือพอที่จะกลับมาใช้จ่ายในระบบ 

รวมทั้ง การเพิ่มสภาพคล่องในระบบธนาคารจะช่วยดึงประชาชนออกจาก "วงจรหนี้นอกระบบ" ที่มีดอกเบี้ยขูดรีด ซึ่งเป็นตัวเร่งภาวะเงินฝืดที่ร้ายแรงที่สุด

แต่ทว่าการลดดอกเบี้ยเป็นเพียงการ “ระงับปวด” เพราะทางออกที่ยั่งยืนคือการ “ซ่อมแซมครั้งใหญ่” ในเชิงโครงสร้างเพื่อเร่งอัตราการเติบโต GDP ของประเทศให้สูงกว่าดอกเบี้ย

สถิตย์เล่าถึงมุมมองที่เป็นไปได้คือ ไทยต้องฉวยจังหวะจากกระแส AI Boom เพื่อยกระดับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไทย และเกาะกระแสอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกที่กำลังเติบโต

รวมทั้งเร่งโครงการ Thailand Fast Track เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)  แต่ "ความท้าทาย" คือ ต้องทำให้เม็ดเงินไหลลงสู่ระบบเศรษฐกิจจริงโดยเร็วที่สุด ทั้งการสร้างงานและกระตุ้นซัพพลายเชนในประเทศ เพราะนี่เป็น “จุดแข็ง” ของไทยในปี 2567 ที่ผ่านมา ในฐานะ “หลุมหลบภัย” ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลก 

สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจไทยในวันนี้ไม่ต่างจากงูที่กำลังหิวโซ หากเราไม่รีบเติม “สารอาหารใหม่” ผ่านการกระตุ้น GDP ที่เน้นการสร้างรายได้จริง และไม่รีบ “ผ่อนคลายแรงกดดัน” ผ่านนโยบายดอกเบี้ยที่เหมาะสม งูก็จะกัดกินตัวเองจนถึงจุดที่ร่างกายไม่อาจฟื้นฟูได้

การแก้ภาวะเงินฝืดจากหนี้ไม่ใช่แค่การจัดการตัวเลขในกระดาษ แต่คือการคืน “ความหวัง” และ “กำลังซื้อ” ให้กลับมาสู่มือประชาชน เพื่อหยุดยั้งวงจรงูกินหางนี้ให้ได้ ก่อนที่ลมหายใจของเศรษฐกิจไทยจะหมดลง