วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ กองทุนวายุภักษ์ดี แต่อาจเป็นแค่การกู้เงิน
การประกันทั้งเงินต้นและผลตอบแทนการลงทุนจำกัดโอกาสที่เงินจะไหลเข้าหุ้น กระทรวงการคลัง ก.ล.ต.และตลท. แถลงรายละเอียดการขายหน่วยลงทุนประเภท ก. กองทุนวายุภักษ์ 1 วงเงิน 1-1.5 แสนล้านบาท
โดยมีการประกันผลตอบแทนขั้นต่ำ และคุ้มครองเงินต้น (100%) หากลงทุนครบ 10 ปี ซึ่งคล้ายกับการออกขายกองทุนในปี 2546 ด้วยข้อจำกัดของการคุ้มครองเงินต้น และผู้ลงทุนไม่ได้มีอัพไซด์จาก NAV ทำให้เรามองการขายกองทุนวายุภักษ์ 1 อาจเป็นเพียงการกู้ยืมเงินประชาชน โดยเฉลี่ยผลตอบแทนจากเงินปันผลจากหลักทรัพย์ในส่วนที่กองทุนถืออยู่แล้ว 3 แสนล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะได้ประโยชน์จากเงินที่ระดมทุนได้มาช่วยลดภาระขาดดุลงบประมาณ แต่เงินอาจไม่ได้ไหลเข้าตลาดหุ้นมากอย่างที่ตลาดหรือนักลงทุนคาดกัน (ควรติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม)
การเปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นลบต่อตลาด แต่ตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทางการเมือง วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดตัดสินเกี่ยวกับคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี จากกรณีแต่งตั้งรัฐมนตรีที่อาจมีปัญหาด้านจริยธรรม แม้คำตัดสินให้คุณเศรษฐาไม่ผิด (โอกาส 60%) สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ และนโยบายสำคัญต่างๆ เดินหน้าต่อโดยไม่ติดขัด ซึ่งเป็นบวกต่อตลาด แต่คำตัดสินว่าผิด (โอกาส 40%) ซึ่งคุณเศรษฐา ต้องพ้นจากการดำรงตำแหน่ง ในทางกลยุทธ์แล้วกลับตอบโจทย์ผู้มีส่วนได้เสียทางการเมืองมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น 1) การเปลี่ยนองค์ประกอบของพรรคร่วมรัฐบาล (บางส่วนของ พปชร.ออก และปชป.อาจเข้าร่วมรัฐบาล) 2) ถือโอกาสปรับครม. และเกลี่ยกระทรวงต่างๆใหม่ 3) เป็นจังหวะเร่งสร้างความนิยมหลังพรรคฝ่ายค้านอ่อนแอลง ดังนั้นอาจต้องระวังความผันผวนจากความเสี่ยงของคำตัดสิน ซึ่งจะทำให้การดำเนินมาตรการภาครัฐต่างๆ มีความเสี่ยงล่าช้า
ปัจจัยติดตาม 1) เงินเฟ้อสหรัฐฯ ก.ค. ซึ่งตลาดคาดจะออกมา +0.2% MoM และ +3.0% YoY (จากเดือนมิ.ย.ที่ -0.1% MoM และ +3.0% YoY) 2) ผลประกอบการบจ. ไตรมาส 2/67 ถึงสิ้นวัน 13 ส.ค. จำนวน 559 บริษัท (66.5%) มีกำไรรวม 220,122 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +19.2%
ภาพรวมกลยุทธ์ ฟื้นตัวและยังมีบรรยากาศเก็งกำไรรายตัวเชิงบวก แต่ยังมองช่วง 1-2 เดือนนี้ เงินมีโอกาสเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย คาดกลุ่มคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด ขณะที่ใชัจังหวะผันผวนสะสมหุ้นที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก
แนวรับ: 1,270-1,285 / แนวต้าน : 1,305-1,310 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• SAMART* (8) : ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัว และได้ประโยชน์จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐ หากไม่รวมขาดทุนจากคดีช่วงเอเชี่ยนเกมส์ จะมีกำไร 101 ล้านบาท +83% QoQ และ +292% YoY ตัดขาดทุน 5.60 บาท
• RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6% ตัดขาดทุน 27 บาท
• EGCO* (116) : ราคาหุ้นตอบรับผลประกอบการที่อ่อนแอจากการตั้งสำรองโครงการผลิตไฟฟ้าที่ต่างประเทศไปแล้ว ขณะที่ปัจจุบัน ซื้อขายด้วย PER 8x, PBV 0.46x และให้ปันผล 6.72% ตัดขาดทุน 93 บาท
• GUNKUL* (2.40) : ผลประกอบการไตรมาส 2/67 เติบโต QoQ, YoY และเข้าสู่ high season ไตรมาส 3 ขณะที่ผลตอบแทนปันผลระหว่างกาลสูงถึง 4% ตัดขาดทุน 1.955 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผยดัชนี PPI +2.2% เดือนก.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์
- คลัง คาดเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่ "วายุภักษ์" ราว 1-1.5 แสนลบ.-เข้า SET ใน Q3/67
- บมจ.ไทยคม (THCOM) คาดว่าจะปิดดีลตลาดอินเดียสำหรับดาวเทียมไทยคม 10 ในไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ปี 6
- CP ALL ครึ่งปีแรก 67 กวาดกำไร 1.25 หมื่นล้านบาท พุ่ง 46.7%
- SAMART และบ.ย่อย ไตรมาส 2/67 ขาดทุนสุทธิ 183.4 ลบ.
- AMATA แนะนำ “ซื้อ” เป้า 30บาท/ AP แนะนำ “ซื้อ” เป้า 11.30บาท/ CPALL แนะนำ “ซื้อ” เป้า 84บาท/ KCE แนะนำ “ซื้อ” เป้า 54บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
14 ส.ค. – ติดตามการพิจารณาคดีการถอดถอนนายกฯ