กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คาดหวังแรงซื้อจากภายในประเทศ หนุนตลาดรีบาวนด์ได้บ้าง

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ คาดหวังแรงซื้อจากภายในประเทศ หนุนตลาดรีบาวนด์ได้บ้าง

SET Index มีโอกาสฟื้นตัวได้ระดับหนึ่ง ในสัปดาห์นี้ ในสัปดาห์ที่แล้ว (27 พฤศจิกายน –1 ธันวาคม) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแย่กว่าที่เราคาดไว้

แม้จะมีปัจจัยภายนอกช่วยสนับสนุน จากดัชนี US Dollar Index ที่ลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่ากระแสเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยจะเน้นไปที่พันธบัตร มากกว่าหุ้น ส่วนปัจจัยภายในประเทศ มีหุ้นหลักสองสามกลุ่มที่เผชิญกับประเด็นกดดันเฉพาะตัว โดยกลุ่มพลังงานถูกกดจากการที่ราคาน้ำมันอ่อนแอผิดคาด แม้ว่า OPEC+ จะลดการผลิตตามความสมัครใจลงอีก ในขณะที่กลุ่มท่องเที่ยวยังคงถูกกดดันจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง ในขณะที่กลุ่มสาธารณูปโภคเผชิญกับความไม่แน่นอนของการที่รัฐบาลไม่ยอมให้มีการขึ้นค่าไฟฟ้าสูงเกินไป

สำหรับในสัปดาห์นี้ (4 – 8 ธันวาคม) เราคาดว่าดัชนี SET น่าจะฟื้นตัวได้บ้าง โดยในประเด็นแรก อัตราผลผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและไทยน่าจะลดลงไปอีก ท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลง ดังนั้น เงินบาทจึงอาจจะแข็งค่าขึ้นไปอีกในสัปดาห์นี้ หลังจากที่อ่อนลงผิดคาดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ประเด็นที่สอง คณะรัฐมนตรีน่าจะเปิดเผยรายละเอียดของมาตรการกระตุ้นการบริโภคอย่างเช่น e-Refund ออกมาอีกในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะช่วยเสริมภาวะการซื้อขายของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ประเด็นที่สาม อาจจะมีแรงซื้ออย่างแข็งแกร่งจากนักลงทุนสถาบันในประเทศ จากการออกกองทุน TESG ซึ่ง
สามารถใช้หักภาษีได้ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป

 

 

ติดตามตัวเลข ISM ภาคบริการเดือนพฤศจิกายน, ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ และ ผลการประชุมคณะรัฐมนตรีของไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับเศรฐกิจ

ปัจจัยภายนอก: นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ โดยในช่วงที่ผ่านมานี้ ตัวเลขที่อ่อนแอส่งผลกระทบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลงไปอีก หลังจากที่ตัวเลข ISM ภาคการผลิตเดือนพฤศจิกายนออกมาน่าผิดหวัง และนักลงทุนไม่ให้น้ำหนักกับคำเตือนของนาย Powell ประธาน Fed ที่บอกว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการลดดอกเบี้ยในตอนนี้ สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ได้แก่ i) ผลสำรวจ ISM นอกภาคการผลิตในวันที่ 5 ธันวาคม และ i) ตัวเลขการจ้างงานรายเดือนในวันที่ 8 ธันวาคม


ปัจจัยภายใน: นักลงทุนควรติดตาม i) ตัวเลข CPI เดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะช่วยยืนยันว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในภาวะเงินเฟ้อลดลง (dis-inflation) และไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยในประเทศอีกต่อไปแล้ว ii) การประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ในวันนี้ ว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นผ่าน e-Refund หรือไม่ รวมไปถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการปรับค่าไฟฟ้า

 

เน้นเทรดดิ้งธีมหุ้นเด่นเดือน ธ.ค. เช่นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มอาหาร และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

เรายังคงใช้กลยุทธ์การซื้อขายเหมือนกับในบทวิเคราะห์กลยุทธ์ฉบับเดือนธันวาคม โดยเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งกลุ่มแรกคือหุ้นสินค้าฟุ่มเฟือยที่จะได้อานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นการบริโภค อย่างเช่น e-Refund ซึ่งได้แก่ CPN*, GLOBAL* และ HMPRO* กลุ่มที่สอง เรายังคงมองบวกกับหุ้นที่มีประเด็นการฟื้นตัวในกลุ่มอาหาร ซึ่งคาดว่ากำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2567 โดยในกลุ่มนี้เราเลือก RBF และ TU* ส่วนกลุ่มที่สาม คือหุ้นนิคมอุตสาหกรรมที่ยอดขายที่ดินมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งใน 4Q66 และยังมีกระแสข่าวบวกอีกจาก FDI ที่เกี่ยวข้องกับ EV โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งในกลุ่มนี้เราเลือก AMATA* และ WHA*