ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24 ธ.ค.68 ‘ทรงตัว‘ ยังไร้ทิศทางชัดเจน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24 ธ.ค.68 ‘ทรงตัว‘   ยังไร้ทิศทางชัดเจน

ค่าเงินบาทวันนี้ 24 ธ.ค. 68 เปิดตลาด“ทรงตัว“ ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย“ ชี้เงินบาทยังไร้ทิศทางชัดเจน มองกรอบเงินบาทวันนี้ 31.00-31.20 บาทต่อดอลลาร์

KEY

POINTS

  • ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 24 ธ.ค. ทรงตัวที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนหน้า
  • การเคลื่อนไหวของเงินบาทยังคงไร้ทิศทางที่ชัดเจน สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ
  • นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าค่าเงินบาทวันนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-31.20 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้"เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  31.10 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดของวันที่ผ่านมา มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 31.00-31.20 บาทต่อดอลลาร์ 

นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท(USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน แถวโซนแนวรับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 31.09-31.17 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และ ราคาทองคำ (XAUUSD) โดยแม้ว่าเงินดอลลาร์จะมีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 จะออกมา +4.3% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง +3.3% ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมของเฟดลงบ้าง โดยเฉพาะในปี 2569 

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 24 ธ.ค.68 ‘ทรงตัว‘   ยังไร้ทิศทางชัดเจน

ทว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ของสหรัฐฯ หลังจากนั้น ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด อาทิ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนตุลาคม ที่หดตัว -0.1%m/m ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) เดือนธันวาคม ก็ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 89.1 จุด

ประกอบกับบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ลดทอนความน่าสนใจในการถือครองเงินดอลลาร์ ส่งผลให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง และแกว่งตัวในระดับไม่ต่างกับช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจังหวะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์สูงขึ้นบ้างและกลับมาแกว่งตัวเหนือโซน 4,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้

แนวโน้มค่าเงินบาท 

แนวโน้มค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่ แม้ว่าในวันก่อนหน้านั้น ทางการไทยจะมีการแถลงข่าวพร้อมออกมาตรการเพื่อลดทอนผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำต่อเงินบาท และพร้อมเข้าดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนผิดปกติ ซึ่งเราประเมินว่า ตราบใดที่ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนและปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจยังคงช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาทต่อได้ โดยเฉพาะหากแรงหนุนดังกล่าว มาจากจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เว้นเสียแต่ว่า ราคาทองคำจะปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะปิดรับความเสี่ยงชัดเจน (ไม่ควรเป็นประเด็นมาจากฟองสบู่หุ้น AI ที่มักจะกดดันให้ เงินดอลลาร์ย่อตัวลง เนื่องจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ อ่อนไหวกับประเด็นดังกล่าวสูง) ซึ่งอาจหนุนให้เงินดอลลาร์ทรงตัวหรือแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากแรงขายหุ้นไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมได้ ทำให้เงินบาทจะได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำไม่มากนัก อนึ่ง หากราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ จากความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังผู้เล่นในตลาดจะเลือกไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buy (FOMO Buy)

จากการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์) 

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงปลายปี เนื่องจากปริมาณการทำธุรกรรมที่เบาบางลง อาจทำให้ค่าเงินบาทเสี่ยงเผชิญ Two-Way Risk พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง หากมีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งที่มีขนาดใหญ่พอสมควร เข้ามากระทบ

อนึ่ง เราขอเน้นย้ำว่า การจะเห็นเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างต่อเนื่องนั้น จะต้องเห็น 1. การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาดมาก 2. การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำ หรือ ราคาทองคำเข้าสู่ช่วงการพักฐานใหม่ นอกจากนี้ หากราคาทองคำเร่งตัวสูงขึ้น ก็สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ผ่านโฟลว์ธุรกรรมไล่ราคาซื้อทองคำ หรือ Fear of Missing Out Buying Flows (FOMO Buy) และ 3. ปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งควรจะต้องเห็นความเสี่ยงที่รุนแรงต่อปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยว การส่งออก หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ นักลงทุนต่างชาติแห่เทขายสินทรัพย์ไทย เช่น วิกฤตการเมือง (เรามองว่า ถ้าเป็นเพียงความวุ่นวายการเมืองอาจไม่ได้กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญได้)

เราประเมินว่า ความผันผวนของเงินบาทเสี่ยงที่จะสูงขึ้นและอย่างน้อยก็อยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลาง ความไม่แน่นอนของการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักต่างๆ ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ที่ต้องจับตาทั้งสถานการณ์ Government Shutdown (ที่จะกลับมาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2026) และการพิจารณาคดีมาตรการภาษีนำเข้าโดยศาลสูงสุด (Supreme Court) ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options หรือพิจารณาใช้สกุลเงินท้องถิ่น (Local Currencies) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 

มุมมองการลงทุนทั่วโลก

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor นำโดย Nvidia +3.0% ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ปรับตัวผสมผสาน ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.46% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.57% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.34% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งของ Novo Nordisk +9.2% หลัง FDA สหรัฐฯ ได้อนุมัติการจำหน่ายยาลดน้ำหนักแบบเม็ด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้าง จากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของบรรดาแร่โลหะ รวมถึง การรีบาวด์ขึ้นบ้างของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ทว่า ตลาดหุ้นยุโรปก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ Hermes -1.2% และ L’ Oreal -1.1% 

ในส่วนตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจนแถวโซน 4.16% แม้จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นทดสอบโซน 4.20% จากรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 3 ซึ่งออกมาดีกว่าคาด ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ย่อตัวลงบ้าง จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ออกมาแย่กว่าคาด รวมถึงการส่งสัญญาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ย้ำว่า ประธานเฟดคนใหม่ต้องพร้อมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง อนึ่ง เราคงประเมินว่า ว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเป็น 1. แนวโน้มดอกเบี้ยของเฟด (ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ) 2. แนวโน้มฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ และ 3. บรรยากาศในตลาดการเงิน โดยเรายังคงแนะนำให้ ผู้เล่นในตลาดรอจังหวะทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) บอนด์ระยะยาว เน้นในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเท่านั้น อาทิ ระดับบอนด์ยีลด์เกิน 4.20% ก็จะเป็นระดับที่มีความน่าสนใจ และสามารถทยอยเข้าซื้อได้ แต่หากบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเพิ่มเติม จนต่ำกว่าระดับ 4.00% เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดยังไม่ควรไล่ราคาซื้อเพิ่มเติม เพื่อรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง ถึงจะคุ้มค่ากับความเสี่ยง หรือมี Risk-Reward ที่เหมาะสม 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways แม้จะได้แรงหนุนในช่วงแรกจากรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ซึ่งออกมาดีกว่าคาด ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่โซน 97.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.8-98.2 จุด)  ในส่วนของราคาทองคำ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ในช่วงแรก ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2026) ก็สามารถรีบาวด์สูงขึ้น ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ แถว 4,540 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามจังหวะการย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาแย่กว่าคาด และการส่งสัญญาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ย้ำว่า ประธานเฟดคนใหม่ต้องพร้อมลดดอกเบี้ย

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบจากทาง EIA ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้บ้าง 

ส่วนในฝั่งไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports and Imports) เดือนพฤศจิกายน   

และนอกเหนือจากประเด็นดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังการเจรจาเพื่อยุติสงครามมีความคืบหน้ามากขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับเวเนซุเอลา และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา