SCB WEALTH จัดสัมมนา The Future of Wealth เจาะลึก Private Asset & Hedge Fund

SCB WEALTH จัดสัมมนา The Future of Wealth เจาะลึก Private Asset & Hedge Fund มองสินทรัพย์นอกตลาดเพิ่มศักยภาพโอกาสสร้างผลตอบแทน ลดผันผวน หนุนพอร์ตโตอย่างยั่งยืน
SCB WEALTH จัดสัมมนาภายใต้แนวคิด The Future of Wealth : Unlocking Alternative Opportunities ให้กับกลุ่มลูกค้าเวลธ์ เพื่อถ่ายทอดมุมมองและเจาะลึกโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกใน Private Asset, Private Equity และ Hedge Fund ล้วนเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นท่ามกลาง สภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ยังเผชิญความผันผวนจากปัจจัยหลากหลาย
นายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product กลุ่มธุรกิจ Consumer Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การลงทุน ในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investment) ไม่ใช่แค่กระแสแต่คืออนาคตของการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่ความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดยังคงอยู่ในระดับสูง การลงทุนในสินทรัพย์ดั้งเดิม (Traditional Asset) อย่างหุ้นและตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
ผู้ลงทุนจึงควรพิจารณาขยายการกระจายความเสี่ยงออกไปไกลกว่าแค่หุ้นกับตราสารหนี้ ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับตลาดดั้งเดิม ซึ่งสามารถช่วยลดความผันผวนของพอร์ต และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระยะยาว
นายยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวว่า ในฐานะกิจการนอกตลาดที่ได้รับเงินสนับสนุนจากสถาบันต่างบประเทศ ( Venture Capital : VC) มองว่าการพิจารณา การลงทุน ใน Early Stage Startup ของ VC ให้ความสำคัญใน 2 เรื่องหลัก คือ
1.) Market Risk โดยเลือกลงทุนในธุรกิจที่ได้รับการพิสูจน์ในประเทศอื่นแล้วว่า ลูกค้ามีความต้องการจริง และมีผู้เล่นในประเทศอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จให้เห็นแล้ว ผู้ลงทุน จึงมั่นใจว่าธุรกิจลักษณะนี้จะประสบความสำเร็จในประเทศอื่นด้วย ซึ่ง Wongnai ในยุคแรกได้รับเงินลงทุนจากปัจจัยนี้
จุดเด่นของนักลงทุนที่คัดเลือกกิจการนอกตลาดได้ดี คือ มีความชัดเจนว่าต้องการลงทุนในกิจการลักษณะใด ในกรณีที่บริษัทนั้นยังไม่มีรายได้ นักลงทุน จะพิจารณา valuation จากข้อมูลอื่นที่ไม่ใช่งบการเงิน เช่น พิจารณาจากจำนวนผู้ใช้งาน จำนวนการรีวิว จำนวนร้านอาหารในระบบ และพิจารณาแนวคิดของทีมบริหาร ส่วนกรณีที่เป็นกิจการที่มีความมั่งคั่งแล้ว แต่ยังไม่เข้าตลาดควรเลือกบริษัทที่มีชั่วโมงบินสูง มีการเก็บข้อมูลจำนวนมากเพียงพอ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกกิจการได้อย่างเฉียบคม พร้อมหลีกเลี่ยงลงทุนในกิจการที่ผู้บริหารขาดธรรมาภิบาล
2.) Execution Risk ในระยะเริ่มต้นของธุรกิจ ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับ Execution Risk ซึ่งเกี่ยวกับความสามารถของทีมผู้บริหารในการนำแผนไปปฏิบัติ เช่น กลยุทธ์ในการเพิ่มผู้ใช้งาน การเพิ่มจำนวนรีวิว การวางแผนด้านการตลาด (Marketing Execution) และการบริหารต้นทุน เป็นต้น และเมื่อธุรกิจเข้าสู่ Growth stage แล้ว ผู้ลงทุนจะพิจารณาปัจจัยอื่นเพิ่มเติม เช่น การเติบโตของธุรกิจ และความสามารถในการสร้างกำไร รวมทั้งความสามารถในการปฏิบัติตามแผนที่เสนอไว้ เป็นต้น การลงทุนใน Early Stage ผู้ลงทุนต้องเห็นว่าแผนถูกนำไปใช้ได้จริง และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้
ในส่วนของประเทศไทย มองว่า โอกาสการลงทุนในกิจการนอกตลาดมีอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม (SME) มากกว่ากลุ่มเทคโนโลยี โดย กลุ่ม SME มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งค้าปลีก ความงาม บริการ และอาหาร
นางสาวซันนี่ ยุน หัวหน้าฝ่ายไพรเวท เวลธ์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี บริษัท Partners Group สิงคโปร์ กล่าวว่า โอกาสในการลงทุนในกิจการนอกตลาด (Private Markets) กำลังขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 5,000 บริษัท ขณะที่จำนวนกิจการที่อยู่นอกตลาดมีมากกว่า 2 ล้านบริษัท แสดงให้เห็นว่าในตลาดหุ้นมีการแข่งขันที่เข้มข้น แต่กิจการนอกตลาดกลับเต็มไปด้วยโอกาสใหม่ที่ยังรอการค้นพบ
กิจการนอกตลาดมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง ขณะที่ความผันผวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดั้งเดิม และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการเงินในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุน Private Asset ได้ง่ายขึ้น ใช้เงินลงทุนน้อยลง และไม่จำเป็นต้องถือครองในระยะยาวเหมือนในอดีต
หนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ คือ การลงทุนในค่าสิทธิ (Royalty investment) จากการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาหรือทรัพย์สินอื่นๆ ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาแหล่งรายได้ที่มั่นคง พร้อมความสามารถในการบริหารความเสี่ยงในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
นางสาวซาแมนธา หลิน CFA ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัท Franklin Templeton Core Asia เปิดเผยว่า ท่ามกลางภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูงและความไม่แน่นอนในระบบการเงินโลก นักลงทุนจำนวนมากเริ่มหันมาสนใจการลงทุนใน Private Equity Secondary ซึ่งเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Private Equity ที่มีอยู่แล้ว ผ่านตลาดรอง (Secondary Market) จุดเด่นของการลงทุนใน Private Equity Secondary ยังช่วยลดความเสี่ยงจาก J-Curve Effect โดยการเข้าลงทุนในช่วงที่กิจการเริ่มมีกระแสเงินสดแล้ว นักลงทุนจึงสามารถเริ่มรับ Early Cash Distribution ได้เร็วกว่าการลงทุนในระยะ Early Stage ที่ต้องรอเวลาให้ธุรกิจเติบโตและทำกำไร
สำหรับการลงทุนใน Franklin Lexington PE Secondaries Fund ที่บริหารโดย Lexington Partners ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้าน Private Equity Secondary ด้วยประสบการณ์ยาวนาน โดยมี Target Return อยู่ที่ 11-13% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่มุ่งเน้นความสบายใจให้กับผู้ลงทุนมากกว่าการคาดหวังผลตอบแทนแบบหวือหวา ด้วยการเปิดรับซื้อหน่วยลงทุนได้ทุกเดือน และเปิดขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกไตรมาส โดยมีการกันเงินสำรองไว้ 5-15% ของมูลค่ากองทุนเพื่อรองรับความต้องการด้านสภาพคล่องของนักลงทุน
นายเอ็ดวิน ชาน กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายโซลูชั่นสำหรับลูกค้า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท iCapital เปิดเผยว่า Hedge Fund เป็นหนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถปรับใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายกว่าสินทรัพย์แบบดั้งเดิม (Traditional Asset) โดยมีจุดเด่นในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในทุกภาวะตลาด พร้อมลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้อย่างมีนัยสำคัญ
หากนักลงทุนปรับพอร์ตเดิมที่เน้นหุ้น และตราสารหนี้ เพิ่มสัดส่วน Hedge Fund เข้ามาในพอร์ตการลงทุน จะส่งผลให้พอร์ตการลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ความผันผวนของพอร์ตการลงทุนลดลง
ตัวอย่างกลยุทธ์ใน Hedge Fund อาทิ 1.) Long / Short Strategy คือ การเลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มปรับขึ้น และ Short หุ้นที่มีแนวโน้มปรับลง พร้อมใช้เครื่องมืออนุพันธ์เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน 2.) Event-Driven Strategy คือ การอาศัยข้อมูลเชิงลึก เช่น การควบรวมกิจการเพื่อเข้าเก็งกำไรก่อนที่ตลาดจะตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้น และ 3.) Macro Strategy การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก เช่น ทิศทางดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และแนวโน้มของประเทศต่างๆ เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนในเชิงรุก
นายหลิง กว๊อก หุ้นส่วนและประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (CIO) บริษัท Quantum GBL Asset Management เปิดเผยว่า จากการศึกษาระยะยาวเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินลงทุนของกองทุน Endowment Fund ของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก พบว่า การลงทุน ใน Hedge Fund สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า พร้อมลดความผันผวนของพอร์ตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทของการลงทุนระยะยาว
การศึกษาผลตอบแทนของกองทุน Endowment Fund จากมหาวิทยาลัยในสหรัฐ จำนวน 118 แห่ง ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา พบว่า มหาวิทยาลัยที่มีผลตอบแทนดีที่สุดมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี ขณะที่กลุ่มที่ต่ำสุดอยู่ที่ 4.7% ต่อปี หากจัดอันดับเป็น Quartile จะพบว่ากลุ่ม First Quartile ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.7% ต่อปี ส่วน Last Quartile อยู่ที่ 7.1% ต่อปี ความแตกต่างเพียง 1.6% เมื่อคำนวณแบบทบต้นในระยะ 25 ปี จะทำให้พอร์ตมีผลต่างของมูลค่าสูงถึง 3 เท่า โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกต่างคือความสามารถในการเข้าถึงกลยุทธ์การลงทุนขั้นสูงของ Hedge Fund
Hedge Fund ยังมีจุดเด่นด้านการบริหารความเสี่ยงด้วยกลยุทธ์ระดับมืออาชีพ เช่น Long/Short, Event-Driven และ Global Macro Strategy
แม้ Hedge Fund ในอดีตจะสงวนไว้เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันเท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ด้วยพัฒนาการของแพลตฟอร์มอย่าง Quantum GBL และ iCapital ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนกลุ่ม Wealth ทั่วไปเข้าถึงกองทุนระดับโลกเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยวงเงินลงทุนที่ยืดหยุ่นและโครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ นักลงทุน รายบุคคล







