ธปท.เปิดเสถียรภาพการเงิน ‘หุ้นกู้-อสังหาฯ-บิิ๊กคอร์ป’ จุดเสี่ยงใหญ่

ธปท.ชี้แม้ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ต้องติดตามความเสี่ยงกระทบเสถียรภาพ เอกชนลดความเชื่อมั่น ครัวเรือนคุณภาพด้อยลง หนี้รายใหญ่สัญญาณเปราะบางเพิ่ม อสังหาชะลอตัวลากยาว
KEY
POINTS
- เปิดเสถียรภาพระบบการเงินปี 68 พบความเชื่อมั่นนักลงทุนที่อ่อนไหวทำให้การระดมทุนผ่านหุ้นกู้มีความเสี่ยง
- โดยเฉพาะกลุ่ม high yield ที่จะครบกำหนดจำนวนมากและอาจประสบปัญหาในการต่ออายุหุ้นกู้ (rollover risk)
- ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายมีความเปราะบางจากภาวะตลาดที่ชะลอตัวและอุปทานคงค้างสูง ทำให้มีความเสี่ยงในการต่ออายุหุ้นกู้เพิ่มขึ้น
- บริษัทขนาดใหญ่ที่มีหนี้สินสูง มีความเปราะบางเพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังเจ้าหนี้และเสถียรภาพระบบการเงิน
- ภาวะการเงินโดยรวมมีแนวโน้มตึงตัวขึ้น ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนเปราะบางที่มีความสามารถในการชำระหนี้จำกัด
ระบบการเงินไทยในภาพรวมยังคงมีเสถียรภาพ และสามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสนับสนุน ภาคเศรษฐกิจ จริงได้อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะข้างหน้า ระบบการเงิน และเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายมิติ
ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศและปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินผ่านจุดเปราะบางที่เริ่มปรากฏชัดขึ้นในบางภาคส่วน
หนึ่งในปัจจัยภายนอก ที่ยังคงสร้างแรงกดดันต่อ เศรษฐกิจและระบบการเงินไทย คือ การดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐ แม้ภายหลังการประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐ จะทำให้ทิศทางนโยบายมีความชัดเจนขึ้นในบางส่วน แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนสำคัญ
โดยเฉพาะประเด็นพิจารณาอัตราภาษีสำหรับสินค้าที่มีลักษณะ transshipment รวมถึงแนวทางการเปิดตลาดสินค้านำเข้าของไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อส่งออกและความสามารถแข่งขันผู้ประกอบการไทยระยะต่อไป
นอกจาก ความเสี่ยงการค้าแล้ว แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (sovereign rating) ซึ่งหากมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ต้นทุนการระดมทุนภาครัฐและเอกชน รวมถึงเสถียรภาพทางการเงินในภาพรวม
ในด้านเศรษฐกิจจริง เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงในระยะข้างหน้า สอดคล้องกับการส่งออกที่ชะลอลงหลังจากเร่งตัวไปในช่วงก่อนหน้า การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวลดลงตามทิศทางรายได้ที่เติบโตช้าลง และการลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวได้อย่างจำกัด
จากการรอประเมินสถานการณ์ของภาคธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ ประกอบกับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งซ้ำเติมความเปราะบางของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในบางพื้นที่
ภายใต้บริบทดังกล่าว แม้ระบบการเงินโดยรวมยังไม่เผชิญความเสี่ยงเชิงระบบในทันที แต่ความไม่แน่นอนที่ยังดำเนินอยู่ ทำให้จำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อจุดเปราะบางของระบบการเงินเพิ่มเติม โดยเฉพาะใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่
- 1. ภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นและผลกระทบต่อสภาพคล่องของภาคธุรกิจและครัวเรือน
- 2. ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
- 3. ความเปราะบางของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีระดับหนี้สูง
- และ 4. ฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายภายใต้ภาวะตลาดที่ยังชะลอตัว
- ภาวะการเงิน ตึงตัวและสัญญาณสภาพคล่องที่อ่อนแรง
หากดูภาพรวมในไตรมาส 3 ของปี 2568 ภาวะการเงินในประเทศมีแนวโน้มตึงตัวมากขึ้น สะท้อนจากการหดตัวของสินเชื่อระบบสถาบันการเงิน ที่ 0.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แม้สินเชื่อปล่อยใหม่ยังมีการขยายตัวอยู่บ้าง
ขณะเดียวกัน การออกตราสารหนี้ภาคเอกชนหดตัวต่อเนื่องที่ 1.5% ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังของทั้งผู้ให้กู้และผู้ลงทุนภายใต้ความเสี่ยงที่ยังอยู่ในระดับสูง ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการหดตัวดังกล่าว ประกอบด้วย 2 ประเด็นหลัก ได้แก่
ด้านแรก ความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินและนักลงทุนระมัดระวังในการให้สินเชื่อและการลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มครัวเรือนเปราะบาง
กลุ่ม เอสเอ็มอี และผู้ออกตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง และประการที่สอง ความต้องการสินเชื่อที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งสะท้อนถึงการชะลอตัดสินใจลงทุนและการใช้วงเงินสินเชื่อท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สัญญาณดังกล่าวสะท้อนชัดจากอัตราการใช้วงเงินสินเชื่อ (utilization rate) ที่ปรับลดลงต่อเนื่อง โดยไตรมาส 3 ปี 2568 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 15.7 ซึ่งเป็นผลการลดลงของยอดคงค้างการเบิกใช้วงเงิน จากความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่ลดลง ขณะที่วงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม
- “เอสเอ็มอี-ครัวเรือน” เปราะบางซ้ำเติมภาวะการเงิน
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดว่าภาวะการเงินยังคงตึงตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และครัวเรือนเปราะบาง ซึ่งยังเผชิญข้อจำกัดสภาพคล่องและความสามารถชำระหนี้
ในฝั่ง SMEs ปัญหาสำคัญยังคงมาจากภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง และสภาพคล่องที่ตึงตัว
สะท้อนจากระยะเวลาการชำระสินเชื่อการค้าที่ยาวขึ้น และวงจรเงินสด ที่ยังอยู่ในระดับสูง แสดงให้เห็นว่าธุรกิจต้องใช้เวลานานขึ้นตั้งแต่เริ่มผลิตสินค้าหรือบริการจนถึงได้รับชำระเงิน
โดยเฉพาะ SMEs ขนาดเล็กมาก (micro SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากที่สุด ยังคงได้รับสินเชื่อลดลงมากที่สุดในช่วงปี 2567-2568 และต้องเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าลูกหนี้ธุรกิจกลุ่มอื่น
ขณะเดียวกัน ครัวเรือนเปราะบางยังประสบปัญหาสภาพคล่องต่อเนื่อง จากรายได้ที่ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายและภาระหนี้ โดยจากข้อมูลสำรวจสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากว่า 41% ของครัวเรือนไทยอยู่ในกลุ่มเปราะบาง จำนวนนี้ 23% เป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายและชำระหนี้ และไม่มีเงินเก็บเพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
สถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อคุณภาพสินเชื่อในระบบ และยังต้องติดตามความเสี่ยงของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีสินเชื่ออุปโภคบริโภคร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากหากธุรกิจประสบปัญหา อาจส่งผลให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ในสินเชื่ออุปโภคบริโภค และซ้ำเติมคุณภาพสินเชื่อในภาพรวมผ่านกลไก potential cross default
ด้านที่สอง ความเชื่อมั่นนักลงทุน ซึ่งยังคงมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังดำเนินอยู่ หากความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับลดลง อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง
สถานการณ์ในตลาดการเงินสะท้อนพฤติกรรมการลงทุนแบบระมัดระวัง (risk-off sentiment) อย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนมีแนวโน้มเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน
โดยเฉพาะหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ หรือหุ้นกู้อัตราผลตอบแทนสูง (high yield) เผชิญกับข้อจำกัดในการระดมทุนมากขึ้น
ประเด็นดังกล่าวมีความสำคัญ เนื่องจากในระยะข้างหน้า หุ้นกู้ภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่ม high yield จะทยอยครบกำหนดจำนวนมาก หากสภาวะตลาดยังคงไม่เอื้ออำนวย อาจทำให้ผู้ออกหุ้นกู้บางรายเผชิญกับความยากลำบากในการต่ออายุหุ้นกู้ (rollover) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้
อย่างไรก็ดี สำหรับบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุนได้ (investment grade) โดยภาพรวมยังคาดว่าจะสามารถต่ออายุหุ้นกู้ได้ตามปกติ สะท้อนว่าความเสี่ยงด้านการระดมทุนยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ออกตราสารที่มีฐานะการเงินเปราะบางมากกว่า
- เกาะติดฐานะการเงินรายใหญ่ เจอปัญหาชำระหนี้พุ่ง
ในรายงานการติดตามเสถียรภาพระบบการเงินไทยประจำปี 2568 ยังสะท้อนความเสี่ยงที่น่าห่วงอย่างมากที่ต้องติดตามความเปราะบางใกล้ชิด คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีระดับหนี้สูง (highly leveraged large corporations: HLLCs) ซึ่งบางรายเริ่มมีความเปราะบางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะบริษัทที่มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับสูง หรือบริษัทที่เผชิญกับแรงกดดันด้านรายได้ จากการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว ความท้าทายดังกล่าวส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้และการระดมทุนของบริษัทในกลุ่มนี้ลดลง
ความเสี่ยงของ HLLCs ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตัวบริษัทเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปยังเจ้าหนี้ในระบบ ทั้งสถาบันการเงิน (สง.) และผู้ลงทุนในตราสารหนี้ หากบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาในการชำระหนี้ อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังคุณภาพสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดตราสารหนี้ในวงกว้าง
ดังนั้น การติดตามฐานะการเงิน ความสามารถในการชำระหนี้ และแผนการบริหารสภาพคล่องของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีหนี้สูง จึงเป็นประเด็นสำคัญต่อเสถียรภาพระบบการเงินในระยะต่อไป
อีกหนึ่งภาคส่วนที่ยังคงมีความเปราะบาง คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (developer) บางราย ภายใต้ภาวะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง
แม้ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดที่อยู่อาศัยบางส่วนจะได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (loan-to-value: LTV) ในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายในกลุ่มที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไป แต่โดยภาพรวม อุปสงค์และกำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวมากนัก
สะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบและแนวสูง ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการเปิดโครงการใหม่ที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่อุปทานคงค้างในตลาดยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายต้องเผชิญกับแรงกดดันด้านกระแสเงินสดและฐานะการเงิน
ภายใต้ภาวะดังกล่าว ความเสี่ยงในการต่ออายุหุ้นกู้ (rollover risk) ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโครงสร้างหนี้กระจุกตัวในตราสารหนี้ และมีความสามารถในการระดมทุนจากแหล่งอื่นจำกัด ซึ่งหากเกิดปัญหา อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดตราสารหนี้และความเชื่อมั่นของนักลงทุน







