สื่อนอกชี้ ธปท.คงดอกเบี้ยแม้มรสุมรุมเร้า เตือนการเมืองยิ่งซ้ำ เสี่ยงถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง

'วอลล์สตรีทเจอร์นัล' เผย ธปท. ยังคงดอกเบี้ยแม้ปัญหารุมเร้าทั้งใน และนอกบ้าน ANZ ชี้ขนาดยังไม่มีปัญหาการเมืองซ้ำ เศรษฐกิจไทยก็ย่ำแย่ และควรใช้นโยบายการเงินผ่อนปรนอยู่แล้ว ด้าน Nomura เตือนไทยเสี่ยงซ้ำรอยวิกฤติผ่านร่างงบประมาณ-อาจถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง
หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้เท่าเดิม โดยหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ชั่วคราว แม้จะเผชิญความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และความไม่แน่นอนจากต่างประเทศก็ตาม
ที่ประชุม กนง. วันนี้ (25 มิ.ย.68) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% หลังจากที่เคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยมา 2 ครั้งก่อนหน้านี้ในเดือนก.พ. และเม.ย. โดยมีกรรมการ 1 ราย ลงคะแนนเห็นชอบให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ผลการประชุมครั้งนี้เป็นไปตามผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 7 คนจาก 11 คน โดย WSJ ซึ่งคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเผชิญกับอัตราการเติบโต และเงินเฟ้อที่ซบเซาลงก็ตาม
“ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคของไทยนั้น สนับสนุนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนจาก ธปท. อยู่แล้ว แม้จะยังไม่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองรอบล่าสุด” คริสตัล ตัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร ANZ ระบุในบันทึกล่าสุด
WSJ ระบุว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองระลอกใหม่ สมาชิกสำคัญของพรรคร่วมรัฐบาลได้ลาออก ทำให้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แขวนอยู่บนเส้นด้าย
ด้านทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Nomura กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเตือนถึงความเสี่ยงของการผ่านร่างงบประมาณที่ล่าช้าอีกครั้ง รวมถึงความเสี่ยงที่ประเทศไทยอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือตามมาด้วย
เศรษฐกิจยังเผชิญกับอุปสรรคจากต่างประเทศเช่นกัน ภายใต้ภาษีศุลกากร "ตอบแทน" ของประธานาธิบดีทรัมป์ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้อาจได้รับผลกระทบ 36% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้
ความปั่นป่วนทางการเมืองยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแออยู่แล้ว นักเศรษฐศาสตร์จาก Nomura เตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดการ ล่าช้างบประมาณอีกครั้ง และอาจนำไปสู่ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิต
ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันต่างประเทศจากนโยบาย "ภาษีศุลกากรตอบโต้" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ โดยประเทศไทยอาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้สำเร็จ
ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า จนถึงขณะนี้ แรงกดดันด้านราคายังไม่รุนแรงนัก คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5% ในปีนี้ และ 0.8% ในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของ ธปท.ที่กรอบ 1- 3% แต่ ธปท. ยังประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 1% ในปี 2568 และ 0.9% ในปีหน้า
ทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดการณ์ว่า ข้อมูลเหล่านี้อาจเปิดช่องให้ ธปท. พิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25 bsp ในการประชุมเดือนสิงหาคม นี้ โดยช่องว่างระหว่างอัตราเงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ที่ 197 bsp ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 134 bsp นับตั้งแต่ปี 2001
อย่างไรก็ตาม วี คุน ชอง นักกลยุทธ์ตลาดเอเชียแปซิฟิกจากธนาคาร BNY ในฮ่องกง มองว่า ยังมีอุปสรรค "สูง" สำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม
"เรายังไม่เห็น(สัญญาณ) ในขณะนี้ว่าจะมีการรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม" เขาระบุในบันทึกและเสริมว่า ธปท. อาจจะรอจนกว่าจะเห็น “การเติบโตชะลอตัวลงอย่างรุนแรงกว่านี้”







