เปิดโผ 13 สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ปี 68 'ดัชนี KOSPI' แรงสุดพุ่ง 72% 'หุ้นไทย' รั้งบ๊วย

"กูรู" เผย ตลาดโลกฟื้นส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก นำโดยหุ้นเทคฯ และโลหะมีค่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยติดลบราว 9-10% จากปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจโตต่ำ ความเชื่อมั่น และปัจจัยการเมือง
KEY
POINTS
- ตลาดโลกฟื้น แต่หุ้นไทยยัง Underperform - สินทรัพย์ส่วนใหญ่ทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก นำโดยหุ้นเทคฯ และโลหะมีค่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยติดลบราว 9–10% จากปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจโตต่ำ ความเชื่อมั่น และปัจจัยการเมือง
- เอเชียขึ้นแท่นดาวเด่นการลงทุน-เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม และจีน ให้ผลตอบแทนติดอันดับต้น ๆ ของโลก จากบทบาทในห่วงโซ่ AI มูลค่าหุ้นยังไม่แพง และมีช่องว่างลดดอกเบี้ยมากกว่าสหรัฐฯ
- ทองคำ โลหะพุ่งแรง รับโลกเปลี่ยนโครงสร้าง-ทองคำ ทองแดง และ Silver ให้ผลตอบแทนโดดเด่น จากแรงซื้อธนาคารกลาง ความต้องการใน AI–พลังงานสะอาด และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ สะท้อนเงินเฟ้อเชิงโครงสร้างระยะยาว
- ดอกเบี้ยขาลงใกล้จบ ตราสารหนี้เริ่มเสี่ยง-ECB จบวัฏจักรแล้ว สหรัฐฯ–ไทยเหลือพื้นที่ลดดอกเบี้ยจำกัด ทำให้ Upside ตราสารหนี้ลดลง และบอนด์ระยะยาวเสี่ยงขาดทุน หากเงินเฟ้อหรือยีลด์กลับขึ้น
- ปี 2569 คือปี “ปรับพอร์ต” เน้นกระแสเงินสด-กลยุทธ์หลักคือเพิ่มสินทรัพย์ให้กระแสเงินสดสม่ำเสมอ เช่น หุ้นปันผลสูง (ไทยเด่นที่ 4–8%) และธีมเมกะเทรนด์อย่างโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี เพื่อรับมือเศรษฐกิจผันผวนและวัฏจักรใหม่ของเงินเฟ้อ
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการเปลี่ยนผ่านของวัฏจักรการลงทุน ภาพรวมผลตอบแทนสินทรัพย์ตั้งแต่ต้นปี 2568 สะท้อนความแตกต่างอย่างชัดเจน ระหว่างตลาดที่ได้รับแรงหนุนจากเทคโนโลยีและสินค้าโภคภัณฑ์ กับตลาดที่ยังเผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ยังคง Underperform เมื่อเทียบกับตลาดโลก ขณะที่ "กูรู" ด้านการลงทุนมองไปข้างหน้า ปี 2569 จะเป็นปีแห่งการ “ปรับพอร์ต” รับมือดอกเบี้ยขาลง เงินเฟ้อเชิงโครงสร้าง และการไหลของเม็ดเงินสู่สินทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดและสอดรับกับเมกะเทรนด์ใหม่ของโลก
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ภาพรวมการลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบว่าให้ผลตอบแทนเป็นบวก ยกเว้นตลาดหุ้นไทยที่ยังคงติดลบและเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด หรือ Underperform เมื่อเทียบกับตลาดอื่นทั่วโลก
โดยปีนี้ภูมิภาคเอเชียถือเป็นดาวเด่นของการลงทุน ติดอันดับประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด 1 ใน 5 ของโลก นำโดยเกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม ญี่ปุ่น และจีน ขณะที่ตลาดยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 20% ส่วนตลาดสหรัฐฯ ดัชนีหลักอย่าง S&P 500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 17-18% ด้านจีนเติบโตในระดับต้น 20% ขณะที่อินเดียแม้ยังขยายตัวได้ 8-9% แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ จากการโยกย้ายเงินลงทุนไปยังประเทศอื่นในเอเชียและจีนมากขึ้น
สำหรับสินทรัพย์ทางเลือก ทองคำโดดเด่นอย่างมาก ให้ผลตอบแทนสูงถึง 50-60% จากแรงซื้อของนักลงทุนและธนาคารกลางทั่วโลก ขณะที่โลหะเงิน หรือ Silver ปรับตัวขึ้นแรงตามความต้องการในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิป AI แม้ในขณะนี้จะยังเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่มีการเข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ ในเชิงกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า มีกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี S&P 500 อย่างชัดเจน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม Communication Service ที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI กลุ่ม Technology ที่เติบโตแรงจากกระแส AI ซึ่งมีอัตราการนำมาใช้งานเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี และกลุ่ม Industrial ที่ได้แรงหนุนจากนโยบายย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯเพื่อรับมือมาตรการกำแพงภาษี
"ตลาดหุ้นไทยกลับสวนทางตลาดโลก โดยติดลบราว 10% นับตั้งแต่ต้นปี จากแรงกดดันทั้งปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้า กำแพงภาษี และปัญหาชายแดน รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ ทั้งอุทกภัย ความไม่แน่นอนทางการเมือง และประเด็นธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนที่กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน อีกทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ GDP เติบโตต่ำกว่า 3% ต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปี ทำให้นักลงทุนหันไปมองประเทศอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียมากขึ้น"
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 2569 มองว่า ตลาดเอเชียยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จากปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ บทบาทในห่วงโซ่อุปทาน AI ของเอเชียเหนืออย่างเกาหลีใต้และไต้หวัน ช่องว่างในการลดดอกเบี้ยที่มากกว่าสหรัฐฯ ระดับมูลค่าหุ้นที่ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดสหรัฐฯ และแผนกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่ตั้งเป้า GDP เติบโต 5% ซึ่งจะส่งผลบวกต่อทั้งภูมิภาค
ส่วนสหรัฐฯ คาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2569 จะชะลอลง โดย GDP อาจต่ำกว่า 2% ท่ามกลางความผันผวนจากประเด็นนโยบายภาษีและการเลือกตั้งกลางเทอม ขณะที่ทองคำยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นต่อ แม้ความร้อนแรงอาจลดลงจากปีนี้
กิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ทางเลือกในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่า ผลตอบแทนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มสินทรัพย์ที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุดคือกลุ่มโลหะและหุ้นเทคโนโลยี ขณะที่น้ำมันและตลาดหุ้นไทยกลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดของปี
ข้อมูลจากระบุว่า กลุ่มโลหะมีค่าเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด นำโดยโลหะเงิน (Silver) ที่ปรับตัวขึ้นสูงถึง 114% ตามด้วยทองคำ (Gold) ที่เพิ่มขึ้น 62% และทองแดง (Copper) ที่ปรับขึ้น 32% สะท้อนความต้องการใช้โลหะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้านตลาดหุ้นต่างประเทศยังคงปรับตัวในแดนบวก โดยดัชนี Nasdaq และ Nikkei ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นราว 20% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 16% และ Dow Jones ปรับขึ้น 14% ขณะที่สินทรัพย์บางประเภทกลับให้ผลตอบแทนต่ำหรือปรับตัวลง โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับลดลงหนักถึง 21% จากภาวะอุปทานล้นตลาด ส่วนตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลงราว 9% นับตั้งแต่ต้นปี
"ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคากลุ่มโลหะให้ปรับตัวขึ้นแรงมาจาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มการถือครองทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยง ธีมการลงทุนด้าน AI และเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องใช้โลหะเงินและทองแดงในห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และพลังงานสะอาด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินเฟ้อโลก จากยุคโลกาภิวัฒน์สู่การจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานที่เน้นความมั่นคง ซึ่งเอื้อต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และทองคำในระยะยาว"
สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 2569 มองว่า นักลงทุนต้องเตรียมรับมือกับการสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ประกาศจบวัฏจักรไปแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ อาจลดดอกเบี้ยได้อีกเพียง 2-3 ครั้ง และไทยอาจลดได้ไม่เกิน 1-2 ครั้งในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งจะทำให้ตราสารหนี้เริ่มมีความน่าสนใจลดลง เนื่องจากโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างราคามีจำกัด และหากเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวจนบอนด์ยีลด์ปรับขึ้น ผู้ถือครองตราสารหนี้ระยะยาวอาจเผชิญความเสี่ยงขาดทุนจากราคาได้
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนต่ำในปีที่ผ่านมา แต่ในปี 2569 อาจกลับมาได้รับความสนใจจากเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะหุ้นที่มีลักษณะคล้ายตราสารหนี้ เนื่องจากหุ้นไทยมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ยราว 4% และบางบริษัทให้ผลตอบแทนสูงถึง 5-8% สูงกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ที่อยู่เพียงประมาณ 1.7%
ทั้งนี้ กลยุทธ์การลงทุนในปี 2569 ควรเน้นการปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับวัฏจักรเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป โดยให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีเงินปันผลสูง กระแสเงินสดมั่นคง รวมถึงสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ซึ่งยังคงเป็นธีมการลงทุนที่น่าจับตามองในระยะถัดไป







