ปรากฏการณ์ 'แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ' อาจเป็นปัจจัย น้ำท่วมหาดใหญ่ เหมือนแคลิฟอร์เนีย

นักอุตุนิยมวิทยาตั้งข้อสังเกตว่าปรากฏการณ์ "แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ" (Atmospheric Rivers: ARs) ซึ่งเป็นการพัดพาความชื้นมหาศาลจากทะเลเข้าสู่แผ่นดิน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงในหาดใหญ่
KEY
POINTS
- นักอุตุนิยมวิทยาตั้งข้อสังเกตว่าปรากฏการณ์ "แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ" (Atmospheric Rivers: ARs) ซึ่งเป็นการพัดพาความชื้นมหาศาลจากทะเลเข้าสู่แผ่นดิน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมรุนแรงในหาดใหญ่
- ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสาเหตุหลักของอุทกภัยในหลายพื้นที่ เช่น รัฐแคลิฟอร์เนีย และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ทำให้ความเสี่ยงจากฝนตกหนักและน้ำท่วมเพิ่มขึ้นทั่วโลก
- แม้ยังต้องมีการวิเคราะห์เพื่อยืนยันความเชื่อมโยงโดยตรง แต่ปริมาณฝนที่ตกในหาดใหญ่ครั้งล่าสุดสูงกว่าสถิติในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มความเสี่ยงจากสภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้น
เหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ถูกนักอุตุนิยมวิทยาและนักวิจัยบางส่วนชี้ว่า “แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ” (Atmospheric Rivers: ARs) อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝนตกหนักผิดปกติในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาระดับความชื้นขนาดใหญ่จากทะเลซึ่งถูกพัดเข้ามายังแผ่นดินและกระทบกับระบบอากาศท้องถิ่น ผลที่ตามมาคือ ปริมาณน้ำฝนในช่วงเวลาสั้นๆ สูงจนส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและปัญหาสาธารณูปโภคตามมา "กรุงเทพธุรกิจ" สำรวจงานวิจัยและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวปรากฏการณ์ 'แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ' ที่อาจเป็นปัจจัย น้ำท่วมหาดใหญ่ เหมือนแคลิฟอร์เนีย ดังนี้
แม่น้ำในชั้นบรรยากาศคือกระแสลมแคบยาวในชั้นบรรยากาศที่ขนส่งไอน้ำจำนวนมากจากเขตร้อนหรือมหาสมุทรไปยังพื้นที่อื่นของโลก เมื่อกระแสนี้ชนกับฝั่งหรือภูมิประเทศ มวลไอน้ำจะกลั่นตัวออกมาเป็นฝนหรือหิมะในปริมาณมหาศาล จนบางครั้งมีปริมาณน้ำเทียบเท่ากับแม่น้ำบนพื้นดินขนาดใหญ่หลายแห่งพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อแม่น้ำในชั้นบรรยากาศมีความรุนแรงและเกิดต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็สามารถก่อให้เกิดอุทกภัยรุนแรงได้ ดังเช่น รัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญกับความเสียหายจากน้ำท่วมโดยเฉลี่ยปีละ 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมากกว่า 93% ของความเสียหายเหล่านี้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ
แคลิฟอร์เนียเผชิญ “แม่น้ำในบรรยากาศ” น้ำท่วม-หิมะลด เสี่ยงภัยเพิ่ม
รายงานวิทยาศาสตร์ล่าสุดจาก “2025 State of Bay-Delta Science” ระบุว่า แม่น้ำในบรรยากาศเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปริมาณน้ำในแคลิฟอร์เนียผันผวนและเพิ่มความเสี่ยงน้ำท่วม พายุ ARs ซึ่งพัดพาความชื้นมหาศาล กำลังมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและนำพาน้ำฝนมากขึ้นภายในสิ้นศตวรรษนี้
แคลิฟอร์เนียมีสภาพอากาศสลับระหว่างแห้งแล้งกับเปียกชื้น ส่วนใหญ่เกิดจาก ARs ที่เป็นเส้นทางไอน้ำยาวและแคบในชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำให้เกิดฝนถึง 30–60% ของรัฐ พายุ ARs ที่รุนแรงและต่อเนื่องมักก่อให้อุทกภัยเสียหายหนัก
พื้นที่ Sacramento-San Joaquin Delta เป็นศูนย์กลางน้ำสำคัญ แต่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงจาก ARs ที่ทำให้น้ำไหลบ่าเร็วขึ้น เพราะชั้นหิมะลดลง ฝนเพิ่มมากขึ้น จึงเพิ่มโอกาสเกิดน้ำท่วมฉับพลันและตึงเครียดต่อโครงสร้างน้ำ
การบริหารจัดการน้ำต้องเผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนของพายุ ARs ที่ทำนายได้ยาก ทำให้ต้องพัฒนาการพยากรณ์ล่วงหน้าและระบบเตือนภัย เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างยืดหยุ่น รองรับภัยแล้งและน้ำท่วมในอนาคต
ภาวะโลกร้อนทำให้ “แม่น้ำในชั้นบรรยากาศ” เข้มข้นขึ้น
งานวิจัย Significant Increase of Global Anomalous Moisture Uptake Feeding Landfalling Atmospheric Rivers ระบุว่า หนึ่งในสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคืออุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความสามารถในการกักเก็บน้ำของชั้นบรรยากาศ
บรรยากาศที่มีความชื้นมากขึ้นจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการเคลื่อนย้ายความชื้น อันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการพาความชื้นจากภูมิภาคกึ่งเขตร้อนไปยังนอกเขตร้อน มีแนวโน้มที่จะนำความชื้นและปริมาณฝนมามากขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ฝนหนัก น้ำท่วม และโคลนถล่มจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต
ขณะที่ ผลการวิเคราะห์ของงานวิจัย Climate Change, Atmospheric Rivers, and Floods in California – A Multimodel Analysis of Storm Frequency and Magnitude Changes จากการใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศหลายชุดได้ประเมินบทบาทของแม่น้ำในชั้นบรรยากาศ ต่อพายุและอุทกภัยในแคลิฟอร์เนีย
โดยผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ภายใต้การคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ซึ่งการปล่อยก๊าซจะเร่งตัวขึ้นตลอดศตวรรษที่ 21) แนวโน้มของ ARs จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สามารถ เพิ่มโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมที่บ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น
กรณีหาดใหญ่ เชื่อมโยง ARs หรือไม่?
แม้จะยังต้องทำการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อยืนยันความเชื่อมโยงโดยตรงของ ARs กับเหตุการณ์หาดใหญ่ในครั้งนี้ แต่แนวโน้มระดับโลก ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของความชื้นในบรรยากาศและสัญญาณ ARs ที่มีความเข้มข้นขึ้น แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ชายฝั่งและลุ่มน้ำในภูมิภาคต่างๆ มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อเหตุการณ์ฝนหนักแบบฉับพลัน การวางแผนการจัดการน้ำ การเสริมโครงสร้างพื้นฐาน
โดยข้อมูลเบื้องต้นจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ชี้ว่า ระดับน้ำท่วมใหญ่ในหาดใหญ่ครั้งนี้ สูงกว่าระดับน้ำท่วมสูงสุดเมื่อปี 2553 อย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่รายงานจากหลายแหล่งระบุว่า ปริมาณฝนสะสมระหว่างวันที่ 19–21 พฤศจิกายน สูงถึง 630 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าตัวเลขสูงสุดในปี 2553 ที่อยู่ที่ 428 มิลลิเมตร ปรากฏการณ์นี้จึงถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ฝนตกหนักรอบหลายสิบปี” ของพื้นที่ลุ่มน้ำภาคใต้ตอนล่าง
ARs สภาวะใหม่ที่ควรให้ความสนใจ
"ธารา บัวคำศรี" ผู้ก่อตั้ง Climate Connectors กล่าวว่า แม่น้ำในชั้นบรรยากาศคือสภาวะใหม่ที่เราควรให้ความสนใจ โดยงานวิจัยล่าสุดเรื่อง “แม่น้ำในบรรยากาศของแปซิฟิกตะวันตกที่กระทบต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Distinct Characteristics of Western Pacific Atmospheric Rivers Affecting Southeast Asia) อธิบายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ถึงมีความอันตรายเพิ่มขึ้นในภูมิภาค
ARs ต่างจากพายุฤดูหนาวแบบแคลิฟอร์เนีย เพราะเป็นแนวลำเลียงความชื้นในบรรยากาศที่ฝังตัวในลมมรสุม เป็นทางยาวและแคบที่ขนส่งไอน้ำเข้มข้นในช่วงตุลาคม-มีนาคม มักมุ่งเป้าไปยังชายฝั่งทะเลจีนใต้ อ่าวไทย ภาคใต้ของไทย และคาบสมุทรมาเลเซีย
รูปแบบฝนในสัปดาห์นี้ของหาดใหญ่สอดคล้องกับกลไก ARs คือมี แนวลำเลียงความชื้นที่ต่อเนื่องและยาว เคลื่อนผ่านลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ป้อนความชื้นทำให้เกิดฝนสะสมหนักหลายวันทั่วคาบสมุทร และลามข้ามพรมแดนไปยังประเทศใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า แม่น้ำในชั้นบรรยากาศต้องระมัดระวัง เพราะการยืนยันว่าเป็น ARs จริง ต้องวิเคราะห์ข้อมูล IVT (Integrated Vapor Transport) จากฐานข้อมูล ERA5
Integrated Vapor Transport คือการวัดปริมาณการลำเลียงไอน้ำในแนวราบตลอดชั้นบรรยากาศ โดยรวมความเร็วลมและความชื้นในแนวดิ่งตลอดคอลัมน์บรรยากาศ ค่า IVT เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยเข้าใจวัฏจักรน้ำของโลก และระบุปรากฏการณ์ ARs ซึ่งมีลักษณะเป็นแนวแคบที่มีค่า IVT สูงผิดปกติ
ผลวิเคราะห์ดาวเทียม
หน่วยงานด้านข้อมูลเชิงพื้นที่อย่าง GISTDA เผยผลวิเคราะห์ดาวเทียมและข้อมูลน้ำฝนทั่วหาดใหญ่ พบว่าลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นลุ่มน้ำหลักของสงขลา รับน้ำจำนวนมากในเวลาสั้น มีต้นน้ำที่อำเภอสะเดา ไหลผ่านหาดใหญ่ลงทะเลสาบสงขลา แหลมโพธิ์ ต.คูเต่า พร้อมคลองสาขาหลายสาย เช่น คลองสะเดา คลองหล้าปัง คลองตง และคลองประตู ร่วมรับน้ำ
ภูมิประเทศลุ่มน้ำเป็นปัจจัยเร่งน้ำท่วม โดยตอนบนเป็นภูเขาเทือกเขาน้ำค้าง ส่วนกลางและล่างเป็นพื้นที่ราบลุ่มหนาแน่น กลายเป็น “แอ่งรับน้ำ” ตามธรรมชาติของลุ่มน้ำ
สถานการณ์น้ำท่วมเกิดจาก “น้ำลงเร็วแต่ระบายช้า” ฝนหนักทำให้น้ำจากภูเขาไหลลงพื้นที่ราบเร็วมาก พื้นที่เมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างหนาแน่นลดการซึมน้ำของดิน มวลน้ำจึงถาโถมลงล่างพร้อมกัน
นอกจากฝนมากผิดปกติ เหตุการณ์นี้ยังเป็น “ฝนตกแช่” (Stagnant Rainfall) ตกต่อเนื่องหลายวันตั้งแต่ 19 พฤศจิกายน ดินอุ้มน้ำเต็มจึงทำให้น้ำผิวดินไหลลงคลองตลอด 24 ชม.
ระบบระบายน้ำในเมืองถูกน้ำหนุนกลับซ้ำซาก น้ำท่วมสูงขึ้นรวดเร็ว แม้เร่งสูบก็ไม่ทันน้ำไหลเข้าจากบนต่อเนื่อง
ปัจจัยคือ ฝนมากกว่าปี 2010 ฝนตกต่อเนื่อง, ภูมิประเทศเป็นแอ่งรับน้ำ และโครงสร้างเมืองจำกัด ทำให้คลองอู่ตะเภารับน้ำเกินระบบรองรับ พื้นที่ราบล่างจึงน้ำท่วมหนักที่สุดในชีวิตหลายคน
เหตุการณ์นี้สะท้อนความเสี่ยงจากสภาพอากาศสุดขั้วและข้อจำกัดภูมิประเทศของหาดใหญ่ ที่ต้องทบทวนการจัดการน้ำและภูมิคุ้มกันเมืองอย่างจริงจังในระยะยาว







