ถอดบทเรียน น้ำท่วมหาดใหญ่ ชี้ช่องโหว่ระบบรับมือภัยพิบัติ ภายใต้ยุคโลกร้อน

เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่สะท้อนช่องโหว่ของระบบรับมือภัยพิบัติ ภาวะโลกร้อนจะทำให้ภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น
KEY
POINTS
- เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่สะท้อนช่องโหว่ของระบบรับมือภัยพิบัติ
- การช่วยเหลือเป็นไปได้ยากจากน้ำที่ขึ้นเร็ว ไฟดับ และสิ่งกีดขวาง ทำให้ประชาชนจำนวนมากติดค้าง
- ภาวะโลกร้อนจะทำให้ภัยพิบัติน้ำท่วมรุนแรงและเกิดบ่อยขึ้น จนอาจกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ของไทยซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มเสี่ยงสูงสุด
- การรับมือภัยพิบัติยุคใหม่ต้องเริ่มที่การเตรียมพร้อม "ตัวเอง" เป็นอันดับแรก เพราะความช่วยเหลือจากภาครัฐอาจไปไม่ถึงทันเวลา
- เรียกร้องให้ภาครัฐและนักการเมืองพัฒนาระบบรับมืออย่างจริงจัง
หาดใหญ่กำลังเผชิญหนึ่งในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ยืดเยื้อและรุนแรงที่สุดในรอบหลายปี ภาพของชาวบ้านนับหมื่นที่ติดอยู่ในบ้านท่ามกลางความมืด ไฟดับ ไร้อาหาร น้ำดื่ม และช่องทางติดต่อ เพื่อขอความช่วยเหลือ กลายเป็นเครื่องเตือนใจชัดเจนว่า “น้ำท่วมในยุคโลกร้อน” ไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งความถี่ ความรุนแรง และความคาดเดาได้กำลังเปลี่ยนไปอย่างน่ากังวล
ท่ามกลางสถานการณ์นี้ “ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเลและรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงการถอดบทเรียนจากหาดใหญ่ เพื่อเตรียมรับมือน้ำท่วมยุคโลกร้อน ว่า ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่เสี่ยงน้ำท่วมมากที่สุดในโลกจากภาวะโลกร้อน และความจริงที่น่ากังวลคือ ภัยน้ำท่วมขนาดใหญ่จะเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตามอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น
เมื่อโลกอุ่นขึ้น 1.5°C เหตุการณ์น้ำท่วมอาจเพิ่ม 3–4 เท่า หากอุณหภูมิพุ่งเข้าใกล้ 2°C ในอีก 30–40 ปีข้างหน้า ความถี่อาจเพิ่มเป็นหลายสิบเท่า ในอีก 75 ปี หากไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โลกอาจขึ้นไปถึง 2.6°C ในจุดนั้นน้ำท่วมใหญ่จะกลายเป็นเหตุการณ์ปกติใหม่ของไทย
“นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลขจากรายงานสากล แต่คือสิ่งที่เรากำลังเห็นกับตาในประเทศไทย 2 ปีหลังมานี้ น้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นตั้งแต่น่าน เชียงราย เชียงใหม่ จนถึงหาดใหญ่ ทุกรายงานคือสัญญาณเดียวกัน ความเสี่ยงมาแล้ว และมีแต่จะเพิ่มขึ้น”
กฎข้อแรกของภัยพิบัติยุคใหม่
“ดร.ธรณ์” บอกว่า คำว่า “เรา” ในการรับมือ ไม่ได้หมายถึงรัฐหรือหน่วยงาน แต่คือ “ตัวเราเอง” โดยเฉพาะในยุคที่ภัยมาไวและหนักจนระบบช่วยเหลืออาจไปไม่ถึงทันเวลา เพราะเมื่อเราติดอยู่ท่ามกลางน้ำท่วมกลางคืน แบตหมด ไฟดับ อาหารหมด น้ำเชี่ยว โอกาสรอดอาจขึ้นกับการเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าเพียงอย่างเดียว ปัญหาที่เกิดขึ้นในหาดใหญ่ครั้งนี้ชี้ให้เห็น ดังนี้
- มีประชาชนติดอยู่ในบ้าน หลายหมื่นคน
- น้ำขึ้นเร็วและไหลแรง
- เรือกู้ภัยเข้าไม่ได้ เพราะเส้นทางมีสิ่งกีดขวาง เช่น รถจมน้ำ
- มืดสนิท ไม่มีไฟฟ้า ทำให้กู้ภัยเสี่ยงอันตรายขั้นสูง
- เจ้าหน้าที่จากนอกพื้นที่ไม่ชินเส้นทาง
- ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือคนอยู่ลำพังไม่สามารถออกมาก่อน
ทั้งหมดนี้ทำให้กู้ภัยแทบดำเนินการไม่ได้ในเวลากลางคืน
วิธีเตรียมตัวให้รอดก่อนน้ำมา
1) ศึกษาพื้นที่ตัวเองก่อน เมืองเราเคยน้ำท่วมไหม? ถ้าเคย ให้ถือเป็นสัญญาณแดง แม้บ้านเราไม่เคยโดน แต่นั่นคือยุคก่อน ยุคนี้ฝนและสภาพอากาศไม่เหมือนเดิม
2) เช็กสัญญาณเตือนล่วงหน้า ปีนี้นักวิชาการเตือนลานีญา 2–3 เดือนก่อน ฝนเหนือและกลางตกหนักผิดปกติช่วงตุลาคม ทั้งหมดนี้คือสัญญาณว่าฝนใต้จะมาแรง อย่าวางใจคำพูดแบบ “เดี๋ยวน้ำลด” แต่ต้องดูว่าคนนั้นอ้างอิงข้อมูลอะไร ถ้าไม่ชัดเจน ต้องเช็กข้อมูลจากหลายแหล่ง
3) เตรียมชุดยังชีพขั้นพื้นฐาน ดังนี้
- อาหารแห้งอย่างน้อย 2–3 วัน
- น้ำดื่ม
- ยาสามัญประจำบ้านและยาประจำตัว
- ไฟฉาย
- พาวเวอร์แบงก์เต็มทุกอัน
- เสื้อผ้าแห้งสำรอง
- ถุงกันน้ำใส่เอกสารสำคัญ
4) เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้า หลายบ้านขึ้นชั้นสองแต่ติดเหล็กดัด ออกไม่ได้ นั่นอันตรายมาก ต้องมองหาตึกหรือบ้านสูงใกล้เคียงไว้เป็นที่อพยพ โดยเฉพาะเมื่อหน่วยงานเตือนตัวเลขระดับน้ำ เช่น จะขึ้นอีก 1.45 เมตร
5) เตรียมระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ผู้ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ คนกลุ่มนี้ออกมาก่อนยากที่สุด ลูกที่อยู่ต่างจังหวัดต้องจัดชุดพร้อมอพยพให้พ่อแม่ไว้ล่วงหน้า
ระบบรัฐต้องเปลี่ยนในยุคโลกร้อน
“ดร.ธรณ์” กล่าวด้วยว่า ท้ายที่สุด เมื่อภัยพิบัติผ่านพ้น สิ่งที่คนไทยต้องนำมาคิดเวลาเลือกนักการเมือง คือความสามารถในการจัดการภัยยุคใหม่ ไม่ใช่เพียงคำสัญญาว่าจะทำให้ทุกคน “รวยขึ้น” แบบในอดีต แต่คือความจริงจังในการสร้างระบบป้องกันและรับมือที่ทำให้ผู้คนปลอดภัย
ผู้แทนที่เราจะเลือกควรมีความรู้และใส่ใจเรื่องภัยพิบัติ พร้อมเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่ระบบแจ้งเตือนและสั่งอพยพล่วงหน้าในช่วงที่ประชาชนยังออกมาได้ทัน การจัดการโลเกชันสำหรับผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้ที่พึ่งพาตนเองไม่ได้ให้ได้รับการช่วยเหลือก่อน การเตรียมพื้นที่อพยพและจุดจอดรถที่พ้นน้ำ ไม่ใช่ปล่อยให้รถจำนวนมากขึ้นไปกีดขวางสะพานจนขัดขวางงานกู้ภัย
รวมถึงการมีระบบติดตามระดับน้ำที่โปร่งใสและอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ประชาชนใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจอย่างมีข้อมูล โรงพยาบาลต้องมีน้ำมันสำรองสำหรับเดินเครื่องปั่นไฟโดยไม่ต้องร้องขอ และหน่วยกู้ภัยต้องมีเรือและอุปกรณ์ฉุกเฉินพร้อมใช้งานทันที แม้ทรัพยากรอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องมีเพียงพอให้ประคองสถานการณ์ระหว่างรอการสนับสนุนจากภายนอก
เพราะในยุคนี้ การทำให้ประชาชน “ไม่ตกอยู่ในอันตราย” และ “ไม่ล้มละลายหลังน้ำท่วม” สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตเสียอีก
น้ำท่วมยุคโลกร้อนกำลังจะแรงขึ้น
“ดร.ธรณ์” กล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ที่หาดใหญ่คงไม่ใช่ภัยพิบัติ “ครั้งสุดท้าย” แต่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของยุคใหม่ ที่ภัยพิบัติจะรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า บทเรียนที่ถาโถมตลอดสองปีที่ผ่านมา ตั้งแต่น่าน เชียงราย และเชียงใหม่ ล้วนสะท้อนชัดเจนว่า ความเสี่ยงจากภัยพิบัติในยุคโลกร้อนกำลังก้าวเข้ามาใกล้ทุกที และจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่เตรียมพร้อม
ไทยต้องเตรียมพร้อมทั้งระดับ "ประเทศ–ชุมชน–ครัวเรือน" เพราะความจริงก็คือ เราอาจไม่สามารถป้องกันน้ำท่วมใหญ่ได้ทั้งหมด แต่เราสามารถป้องกันไม่ให้คนตกอยู่ในอันตรายได้ หากวางแผนและตัดสินใจให้ทันก่อนน้ำมา
“ดร.ธรณ์” กล่าวทิ้งท้ายว่า กำลังใจถึงชาวหาดใหญ่และพี่น้องชาวใต้ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมชวนผู้ที่ต้องการช่วยเหลือสนับสนุนผ่านหน่วยงานหรือองค์กรที่เชื่อถือได้ ขณะเดียวกันก็ขอชื่นชมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กู้ภัยทุกคนที่ทุ่มเททำงานท่ามกลางความเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตประชาชน เพราะในวิกฤติครั้งนี้ ทุกการช่วยเหลือล้วนมีความหมาย หวังว่าเมื่อถึงวันน้ำมาอีกครั้ง ไทยจะรับมือได้ดีขึ้นกว่าเดิม







