เปิดแนวคิด ‘เมืองฟองน้ำ’ หลักจัดการน้ำท่วมของ ‘เดนมาร์ก’ ทำอุโมงค์ใต้ดิน เพิ่มพื้นที่สีเขียว

เปิดแนวคิด ‘เมืองฟองน้ำ’ หลักจัดการน้ำท่วมของ ‘เดนมาร์ก’ ทำอุโมงค์ใต้ดิน เพิ่มพื้นที่สีเขียว

“โคเปนเฮเกน” ขึ้นแท่นเมืองจัดการ “น้ำท่วม” ได้ดีที่สุดในโลก หลังเคยเจอพายุรุนแรงที่สร้างความเสียหายเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์

KEY

POINTS

  • เดนมาร์กใช้แนวคิด “เมืองฟองน้ำ” ในกรุงโคเปนเฮเกนเพื่อรับมือปัญหาน้ำท่วม โดยออกแบบเมืองให้สามารถดูดซับและชะลอน้ำฝนไว้ชั่วคราว
  • โครงการหลักคือการสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ใต้ดิน ควบคู่ไปกับการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เช่น สวนสาธารณะและจัตุรัสที่ออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่กักเก็บน้ำ
  • มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่เมือง เช่น สร้าง "ถนนเมฆระเบิด" (Cloudburst Road) ที่นำพาน้ำฝนไหลลงสู่สวนสาธารณะ และใช้ทางเท้าที่น้ำสามารถซึมผ่านได้

ย้อนกลับเมื่อทศวรรษก่อน “กรุงโคเปนเฮเกน” เมืองหลวงของเดนมาร์ก เจอกับพายุรุนแรงครั้งใหญ่ ฝนที่ตกหนักทำให้น้ำท่วมเมืองภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สร้างความเสียหายเกือบ  2,000 ล้านดอลลาร์ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ พายุลูกนี้ทำให้เมืองตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จนปัจจุบันกรุงโคเปนเฮเกนกลายเป็นผู้นำระดับโลกด้านการจัดการน้ำท่วม และเรียกตัวเองว่า “เมืองฟองน้ำ” (Sponge City)  เมืองนี้กำลังสร้างโครงการหลายร้อยโครงการที่ดูดซับน้ำฝนเหมือนฟองน้ำขนาดยักษ์ และนำไปกักเก็บอย่างปลอดภัย แล้วค่อย ๆ ปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ ลองนึกภาพว่าเมืองนี้กำลังเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นระบบการจัดการน้ำขนาดใหญ่เพียงระบบเดียว

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการจะทำเช่นนี้ได้ จะต้องใช้เงินทุนมูลค่ามหาศาล แต่เมืองฟองน้ำใช้เงินไม่ได้มากเหมือนที่คิด รัฐบาลลงทุนสร้างอุโมงค์ใต้ดินของโคเปนเฮเกนในราคาเกือบหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือเป็นการพื้นที่สีเขียว เช่น สวนสาธารณะทั่วทั้งเมือง ซึ่งมีต้นทุนการก่อสร้างและบำรุงรักษาต่ำกว่าระบบระบายน้ำจากคอนกรีตอย่างมาก แถมยังช่วยป้องกันน้ำท่วมได้ดีไม่ต่างกัน

สวนขนาดเล็กบางแห่งสวยงามจนชาวเมืองไม่คิดว่าเป็นระบบป้องกันน้ำท่วม เช่นเดียวกับ “จัตุรัสคาเรน บลิกเซนส์” (Karen Blixens Square) ดูเผินเหมือนเป็นพื้นที่สาธารณะในรูปงานศิลปะร่วมสมัยที่มีเนินเขาคอนกรีตลาดเอียง แต่ความจริงแล้วเนินเขาเหล่านี้ทำหน้าที่ช่วยกักเก็บน้ำฝนในช่วงพายุ

เปิดแนวคิด ‘เมืองฟองน้ำ’ หลักจัดการน้ำท่วมของ ‘เดนมาร์ก’ ทำอุโมงค์ใต้ดิน เพิ่มพื้นที่สีเขียว พื้นที่ต่าง ๆ ของ Karen Blixens Square
เครดิตภาพ: European Union

ท้างด้าน “สวนเอนเกฟ” (Enghaveparken) ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด วิศวกรได้ลดระดับสวนสาธารณะลงทั้งหมด และสร้างอ่างเก็บน้ำซ่อนไว้ใต้ดิน กำแพงคอนกรีตที่ปรกติใช้เป็นม้านั่ง แต่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะช่วยนำน้ำท่วมเข้าสู่สวนสาธารณะ 

เดนมาร์กเน้นการผสมผสานโซลูชันสีเขียวเข้ากับวิศวกรรมแบบดั้งเดิม ส่วนที่เป็นสีเขียวประกอบด้วยสวนสาธารณะที่ทำหน้าที่เสมือนฟองน้ำขนาดยักษ์ ต้นไม้ที่ดูดซับน้ำส่วนเกิน และทางเท้าพิเศษที่ปล่อยให้น้ำฝนซึมผ่านได้ เมืองนี้ยังปล่อยน้ำจากลำธารที่ถูกเก็บไว้ ให้ไหลผ่านเหนือพื้นดินผ่านร่องน้ำที่ปลูกต้นไม้ไว้

ขณะที่ “อุโมงค์เมฆระเบิดคัลเวบอด บริกเก” (Kalvebod Brygge Cloudburst Tunnel) อุโมงค์ใต้ดินยาวหลายกิโลเมตรถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษหน้า โดยในปัจจุบันจะส่งน้ำตรงไปยังท่าเรือโคเปนเฮเกนเมื่อเกิดน้ำท่วมระดับผิวดิน

ส่วนถนนทั่วทั้งเมืองถูกเปลี่ยนเป็นนวัตกรรมที่เรียกว่า “ถนนเมฆระเบิด” (Cloudbrust Road) ในสภาพอากาศปรกติ ถนนสายนี้ดูเหมือนถนนทั่วไป แต่เมื่อฝนตกหนัก น้ำจะไหลตรงเข้าสู่สวนสาธารณะใกล้เคียง และสามารถซึมลงสู่พื้นดินได้อย่างปลอดภัย

เมืองต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังศึกษาสิ่งที่โคเปนเฮเกนกำลังทำอยู่และนำมาปรับใช้ในเมืองของตน แต่ส่วนใหญ่ก็เจอกับความท้าทายที่คาดไม่ถึง เช่น เมืองโอ๊คแลนด์เจอกับการคัดค้านจากสาธารณชนต่อการย้ายที่จอดรถ ส่วนเมืองรอตเตอร์ดัมต้องรับมือกับการขออนุญาตที่ซับซ้อนซึ่งทำให้โครงการล่าช้าไปหลายปี ทางด้านนิวยอร์กเจอความล่าช้าในการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ 

เปิดแนวคิด ‘เมืองฟองน้ำ’ หลักจัดการน้ำท่วมของ ‘เดนมาร์ก’ ทำอุโมงค์ใต้ดิน เพิ่มพื้นที่สีเขียว

Enghaveparken

สำหรับเมืองต่าง ๆ ที่ต้องการเริ่มโครงการจัดการน้ำท่วมแบบเมืองฟองน้ำ จำเป็นต้องเริ่มจากประเมินความเสี่ยงจากน้ำท่วมเพื่อระบุพื้นที่เสี่ยงภัย จากนั้นสร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชนตั้งแต่เนิ่น ๆ ผ่านการประชุมสาธารณะและโครงการนำร่องต่าง ๆ

รวมถึงต้องทำให้ทุกพรรคการเมืองเห็นด้วยกับโครงการนี้ เนื่องจากโครงการเหล่านี้ใช้เวลาหลายทศวรรษ เริ่มต้นด้วยการปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หลังคาเขียว เพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากประชาชน สุดท้าย บูรณาการการจัดการน้ำท่วมเข้ากับการตัดสินใจวางผังเมืองทั้งหมด

ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องเปลี่ยนความคิดของผู้คนเกี่ยวกับการออกแบบเมือง แทนที่จะเร่งระบายน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมืองต่าง ๆ กำลังเรียนรู้ที่จะชะลอน้ำ ทำความสะอาด และใช้ประโยชน์จากน้ำ แทนที่จะสร้างกำแพงกั้นธรรมชาติ 

อย่างไรก็ตาม แม้โคเปนเฮเกนจะดำเนินโครงการเมืองฟองน้ำมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และดูเหมือนว่าจะยังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ เพราะแผนเดิมกำหนดให้แล้วเสร็จภายในต้นทศวรรษ 2030 แต่วิศวกรค้นพบความท้าทายใหม่ ๆ ทำให้ต้องยืดระยะเวลาออกไป เช่น ระบบท่อระบายน้ำเก่าในบางพื้นไม่สอดคล้องกับแผนปรับปรุงใหม่ มาตรฐานคุณภาพน้ำที่เข้มงวดมากกว่าเดิม

นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศคาดการณ์ว่าเมืองทางตอนเหนือของเดนมาร์ก เช่น โคเปนเฮเกนจะเจอกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราการเกิดน้ำท่วมเพิ่มสูงขึ้น จากที่เกิดทุก ๆ 100 ปี อาจจะกลายเป็นทุก 20-30 ปีแทน ในขณะเดียวกัน แผ่นน้ำแข็งที่ละลายจะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามต่อเมืองชายฝั่งทุกแห่ง

โครงการเมืองฟองน้ำมีประโยชน์มากกว่าแค่ป้องกันน้ำท่วม หลังคาเขียวช่วยระบายความร้อนให้อาคารตามธรรมชาติและฟอกอากาศ สวนสาธารณะทำหน้าที่กักเก็บน้ำไว้ในช่วงฤดูแล้ง ช่วยให้เมืองรอดพ้นจากภัยแล้งได้เช่นกัน โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำท่วมบางแห่งยังทำหน้าที่เป็นแหล่งบันเทิงอีกด้วย เช่น อ่างเก็บน้ำที่ทำหน้าที่เป็นลานสเกตในช่วงหน้าแล้ง

แม้โครงการจะยังไม่เสร็จ แต่ระบบการจัดการน้ำท่วมของโคเปนเฮเกนก็ลดความเสี่ยงการเกิดน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญหลายแห่งแล้ว โคเปนเฮเกนกำลังวางรากฐานให้เมืองสามารถเติบโตได้ ต่อให้เผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


ที่มา: Happy Eco NewsNPRWorld Economic Forum