'พ.ร.บ.อากาศสะอาด' ความหวังเผชิญ 'ภาวะประวิงเวลา' ท่ามกลางวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5

'พ.ร.บ.อากาศสะอาด' ความหวังเผชิญ 'ภาวะประวิงเวลา' ท่ามกลางวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ "ฤดูกาลฝุ่นพิษ" อีกครั้งอย่างรุนแรง ขณะที่ "ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด" ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ อย่างเป็นเอกฉันท์ กลับเผชิญภาวะล่าช้าในวุฒิสภา ทั้งที่มลพิษ PM2.5 ที่มาจากหลากหลายแหล่ง ทั้งการเผาในที่โล่ง, อุตสาหกรรม, การขนส่ง และมลพิษข้ามแดน ได้แตะ "ระดับอันตรายต่อสุขภาพ

KEY

POINTS

  • ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งเป็นความหวังในการแก้ปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 ได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากสภาผู้แทนราษฎร แต่กำลังเผชิญกับความล่าช้าในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา
  • วิกฤตฝุ่น PM2.5 มีความรุนแรงและเป็นปัญหาระดับโครงสร้าง โดยมีสาเหตุจากหลายภาคส่วน เช่น การเผาในที่โล่ง อุตสาหกรรม และมลพิษข้ามพรมแดน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างหนัก
  • กฎหมายฉบับนี้มุ่งสร้างกรอบความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อจัดการอากาศสะอาด ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และคาดว่าจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ

ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ฤดูกาลฝุ่นพิษ” อีกครั้ง ท่ามกลางปัญหามลพิษทางอากาศที่เรื้อรังยาวนานกว่าสิบปี และทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ฝุ่นควัน PM2.5 ที่ประชาชนเผชิญในทุกวันไม่ได้เกิดขึ้นจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง หากเป็นผลสะสมจากกิจกรรมมนุษย์แทบทุกภาคส่วน

การเผาในที่โล่งและตอซังทางการเกษตร ไฟป่า การขนส่ง การก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงมลพิษข้ามพรมแดนที่พัดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงทำลายสุขภาพ แต่ยังกระทบเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง

ในสถานการณ์ที่ทุกภาคส่วนเป็นต้นตอ และทุกครัวเรือนได้รับผลกระทบ ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่วางระบบบริหารจัดการอากาศสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ “ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” กลายเป็นความหวังของทั้งประเทศ

สุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีเป็นช่วงที่อากาศถ่ายเทลำบาก ทำให้ระดับ PM2.5 ในไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนอย่างชัดเจน

เพื่อเตรียมรับมือ กระทรวงฯ โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้เปิด “ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.)” เพื่อประสานข้อมูลและคำเตือนไปยังทุกหน่วยงาน ทั้งพื้นที่เกษตร ป่า เมือง และโรงงานอุตสาหกรรม โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา GISTDA กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร LINE ประเทศไทย และ AIS

กรมควบคุมมลพิษยังพัฒนาแบบจำลองคาดการณ์คุณภาพอากาศล่วงหน้า 7 วัน และรายงานสถานการณ์ประจำวัน พร้อมยกระดับระบบแจ้งเตือนผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่

  • Cell Broadcast โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • Line Alert ผ่านแอปพลิเคชัน LINE
  • SMS Alert ร่วมกับ AIS

ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งรวมข้อเสนอของภาคประชาชน ครม. และพรรคการเมืองทุกฝ่าย ได้รับเสียงเห็นชอบ “เป็นเอกฉันท์” จากสภาผู้แทนราษฎร ถือเป็นกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่มีฉันทามติสูงที่สุดฉบับหนึ่งของไทย

อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้กลับเผชิญภาวะ “ประวิงเวลา” ในชั้นพิจารณาของวุฒิสภา แม้เวลานี้คณะกรรมาธิการวุฒิสภาจะกำลังพิจารณาในวาระที่ 2 แล้วก็ตาม แต่กระบวนการกลับล่าช้ากว่าที่หลายฝ่ายคาดหวัง ขณะที่มลพิษฝุ่นพิษกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เตือนว่า ระดับ PM2.5 ในกรุงเทพฯ ขณะนี้ “แตะระดับอันตรายต่อสุขภาพ” แม้ในวันอาทิตย์ที่ไม่มีการเผาในพื้นที่เกษตรและไม่มีไฟป่า สะท้อนว่ามลพิษครอบคลุมทั้งระบบ ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะจุด

ด้านข้อกังวลของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่มองว่ากฎหมายนี้อาจส่งผลต่อเกษตรกร รศ.ดร.วิษณุ ชี้แจงชัดว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาด ไม่ใช่กฎหมายเพื่อต่อต้านใคร แต่เป็นกรอบรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน คือ รัฐต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้, เอกชนต้องปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว และประชาชนต้องมีสิทธิพื้นฐานในการหายใจอย่างปลอดภัย

หากผ่านร่างนี้ จะช่วยยกระดับสุขภาพของประชาชนกว่า 65 ล้านคน เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสุขภาพ ดึงดูดนักท่องเที่ยวรายได้สูง และทำให้สินค้าส่งออกของไทยแข่งขันได้มากขึ้นในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทุกปี

แม้จะเป็นกฎหมายคนละฉบับ แต่ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.ลดโลกร้อน) ถูกจับตามองควบคู่กันกับ พ.ร.บ.อากาศสะอาด อโณทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ระบุว่า แม้ว่า พ.ร.บ. อากาศสะอาดจะไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับภารกิจหลักของ อบก. แต่ก็มีความเชื่อมโยงทางอ้อมที่สำคัญ โดยเฉพาะผ่านโครงการคาร์บอนเครดิต ที่ อบก. ส่งเสริมการลดการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรในที่โล่ง

กิจกรรมการลดการเผาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามภารกิจหลักของ อบก. เท่านั้น แต่ยังช่วย บรรเทาปัญหา PM2.5 โดยตรง ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. อากาศสะอาด