‘อินโดนีเซีย’ เจอน้ำท่วมรุนแรง คร่าคนหลายร้อย เพราะ ‘ตัดไม้ทำลายป่า’

อินโดนีเซีย เผชิญน้ำท่วมหนัก เพราะการตัดไม้ทำลายป่า ทำภูเขาหัวโล้น ไม่มีต้นไม้ดูดซับ คร่าชีวิตคนหลายร้อย ป่าหายนับล้านไร่
KEY
POINTS
- อินโดนีเซียเผชิญน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มรุนแรงบนเกาะสุมาตรา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการตัดไม้ทำลายป่า
- การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำเหมืองและสวนปาล์มน้ำมัน ทำให้ดินและระบบนิเวศสูญเสียความสามารถในการดูดซับน้ำฝนตามธรรมชาติ ส่งผลให้น้ำไหลบ่ารุนแรงเข้าท่วมพื้นที่
- ข้อมูลจาก Global Forest Watch ระบุว่าเกาะสุมาตราสูญเสียพื้นที่ป่าไปกว่า 27.5 ล้านไร่ในช่วงปี 2001-2024 ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ภัยพิบัติทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย เผชิญกับน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มที่พัดถล่มเมืองต่าง ๆ กระแสน้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยว คร่าชีวิตผู้คนไปหลายร้อยคน หลายพันครอบครัวได้รับผลกระทบ บ้านเรือนหลายหลังจมอยู่ใต้น้ำหรือถูกพัดหายไปหมด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าทำให้ภัยพิบัติรุนแรงยิ่งขึ้น
เมื่อป่าไม้ถูกแผ้วถางและพื้นดินเสื่อมโทรม ระบบนิเวศจะสูญเสียความสามารถตามธรรมชาติในการทำหน้าที่เป็น “ฟองน้ำ” ดูดซับน้ำฝน จากเดิมที่ซึมลงสู่พื้นป่าอย่างช้า ๆ กลายเป็นน้ำไหลบ่าอย่างรุนแรงที่ไหลบ่าเข้าสู่บ้านเรือนของผู้คน
เครดิตภาพ: REUTERS/Stringer
ดิน ป่า น้ำเสื่อมโทรม
อินโดนีเซียกำลังเผชิญการล่มสลายของระบบนิเวศ วัฏจักรดิน-ป่า-น้ำกำลังเสื่อมโทรม ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการตัดไม้ทำลายป่าและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษ
ดินที่สุขภาพดีจะอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ เต็มไปด้วยรูพรุนและช่องทางที่เกิดจากรากและสิ่งมีชีวิตในดิน ดินที่ได้รับการดูแลอย่างดีสามารถดูดซับน้ำได้ในปริมาณมหาศาล
ป่าไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มต้นไม้ แต่เป็นระบบป้องกันน้ำท่วมชั้นดี รากพืชสร้างเส้นทางให้น้ำซึมลงสู่ดิน เรือนยอดช่วยชะลอการตกของฝน และใบไม้ร่วงช่วยปกป้องพื้นผิวจากการกัดเซาะ ต้นไม้ดูดซับน้ำจากดินและปล่อยออกมาผ่านการคายน้ำ ช่วยควบคุมความชื้นและรูปแบบของปริมาณน้ำฝน
เมื่อป่าถูกแผ้วถางเพื่อทำไร่ ทำเหมือง หรือขยายพื้นที่เกษตรกรรม ความสามารถในการดูดซับน้ำของดินก็จะลดน้อยถอยลง รากที่เคยยึดดินไว้ก็จะเสื่อมโทรมลง ดินสูญเสียการปกป้อง เศษใบไม้หายไป อินทรียวัตถุลดลง ดินถูกอัดแน่น ถูกกัดเซาะ และเสียหาย ส่งผลให้ภูมิประเทศสูญเสียความสามารถในการดูดซับน้ำ
ในขณะเดียวกัน แม่น้ำได้รับน้ำปริมาณมากในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ น้ำก็จะเอ่อล้น ก่อให้เกิดน้ำท่วมร้ายแรง
ท่อนซุงจำนวนมหาศาลไหลมาพร้อมกับน้ำ แสดงให้เห็นว่ามีการตัดไม้ทำลายป่า
เครดิตภาพ: REUTERS/Stringer
กรณีศึกษาเกาะสุมาตรา
แม่น้ำบาตังโทรู ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา เป็นแม่น้ำสายสำคัญในที่ราบสูงตาปานูลีเซลาตัน ไหลผ่านเทือกเขาที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกันแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการชลประทาน การใช้ในครัวเรือน การประมง และการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก
ป่าฝนเขตร้อนโดยรอบแม่น้ำ เป็นผืนป่าผืนสุดท้ายในภูมิภาคนี้ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของความหลากหลายทางชีวภาพขนาดใหญ่ และทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันตามธรรมชาติจากน้ำท่วมและดินถล่ม
แต่ความสามารถในการฟื้นตัวนี้กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว รัฐได้เปิดให้มีการทำเหมืองตั้งแต่ปี 2010 ทางตอนเหนือของบาตังโทรู ในระดับความสูง 300-400 เมตร ขณะเดียวกันก็เกิดการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันเรื่อยมาจนถึงปี 2024
Global Forest Watch ระบุว่า สุมาตราเหนือสูญเสียพื้นที่ป่าไม้ไป 10 ล้านไร่ในช่วงปี 2001-2024 หรือคิดเป็น 28% ของพื้นที่ป่าไม้ทั้งหมด แต่หากดูภาพรวมทั้งเกาะสุมาตราจะมีพื้นที่ป่าที่หายไปมากถึง 27.5 ล้านไร่ ซึ่งใหญ่กว่าสวิตเซอร์แลนด์
เดวิด กาโว ผู้ก่อตั้งองค์กร Nusantara Atlas ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบการตัดไม้ทำลายป่า กล่าว “นี่คือเกาะอินโดนีเซียที่มีการตัดไม้ทำลายป่ามากที่สุด” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดอุทกภัยร้ายแรง แม้ว่าการตัดไม้ทำลายป่าจะมีบทบาทรองลงมาก็ตาม
เมื่อไม่มีพืชพรรณปกคลุม ทำให้ดินที่โล่งเตียนในลุ่มน้ำบาตังโทรูมีความเสี่ยงสูงต่อการกัดเซาะ ไม่สามารถดูดซับน้ำฝนหรือรักษาเสถียรภาพของแหล่งต้นน้ำได้อีกต่อไป ทำให้ชุมชนที่อยู่ท้ายน้ำมีความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อเกิดพายุรุนแรง
ปรกติแล้วฝนตก น้ำจะใส แต่ในช่วงน้ำท่วม น้ำจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองน้ำตาลหรือแม้กระทั่งสีดำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าดินที่ถูกกัดเซาะถูกพัดพาไปกับกระแสน้ำ
4 วันหลังจากเกิดน้ำท่วมฉับพลัน แม่น้ำบาตัง กุรันจี และแม่น้ำบาตัง ไอ ดิงกิน ในปาดังยังคงเป็นสีเหลืองน้ำตาล ไหลอย่างรวดเร็วไปยังชายหาดปาดัง
“ใช่ มีปัจจัยจากพายุไซโคลน แต่ถ้าป่าของเราได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี มันคงไม่เลวร้ายขนาดนี้” กัส อิราวัน ปาซาริบู ผู้นำรัฐบาลท้องถิ่นในตาปานูลี กล่าวกับรอยเตอร์ทางโทรศัพท์
ปาซาริบูกล่าวว่าเขาได้ประท้วงต่อกระทรวงป่าไม้เกี่ยวกับใบอนุญาตที่ออกให้สำหรับการใช้พื้นที่ป่าสำหรับโครงการต่าง ๆ แล้ว แต่กระทรวงกลับพิกเฉยต่อคำร้องของเขา
สื่อรายงานว่า สำนักงานอัยการสูงสุดกำลังตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อตรวจสอบว่ากิจกรรมผิดกฎหมายมีส่วนทำให้เกิดภัยพิบัติหรือไม่ ขณะที่กระทรวงสิ่งแวดล้อมจะสอบสวนบริษัท 8 แห่งในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การทำไม้ การทำเหมืองแร่ และสวนปาล์ม หลังจากท่อนไม้ถูกพัดขึ้นฝั่งในบางพื้นที่ของเกาะสุมาตรา
เครดิตภาพ: REUTERS/Willy Kurniawan
พื้นฟูระบบนิเวศแก้น้ำท่วม
ในพื้นที่ที่มีดินอุดมสมบูรณ์และป่าที่สมบูรณ์ พายุยังคงสร้างความเสียหายได้ แต่ระบบนิเวศและผืนป่าจะดูดซับผลกระทบบางส่วนไว้ ในพื้นที่ที่เสื่อมโทรมอย่างรุนแรง พายุเดียวกันอาจทวีความรุนแรงขึ้นเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดังนั้นการตัดไม้ทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของดินเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบในระดับชาติ
จากบทเรียนของสุมาตรา แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์การรับมือกับสภาพภูมิอากาศไม่สามารถพึ่งพาเพียงระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่นคันกั้นน้ำ เขื่อน หรือการตอบสนองฉุกเฉินได้ แต่จำเป็นต้องฟื้นฟูธรรมชาติ รักษาความสัมพันธ์ระหว่างดิน ป่าไม้ และน้ำ ฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมด้วยการเพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุ ส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืน และนำตัวชี้วัดสุขภาพดินและสิ่งปกคลุมดินมารวมไว้ในการวางแผนรับมือน้ำท่วม รวมถึงการปลูกป่าทดแทนไปจนถึงการปลูกพืชริมฝั่งแม่น้ำ ต้องควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเชิงวิศวกรรม
หากเรารับมือกับภัยพิบัติเพียงอย่างเดียวโดยไม่ฟื้นฟูแนวกันชนทางนิเวศวิทยาที่ป้องกันภัยพิบัติ น้ำท่วมในอนาคตจะยิ่งรุนแรงและร้ายแรงยิ่งขึ้น
สภาพอากาศสุดขั้วจะเกิดขึ้นเสมอ แต่เราสามารถลดผลกระทบได้ด้วยการฟื้นฟูป่าและปรับปรุงสภาพดินใต้พื้นดิน เพื่อที่พายุลูกต่อไปจะไม่ต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งต่อไป
ที่มา: Azer News, The Diplomat, Reuters, The Conversation







