เจรจา COP30 ถึงทางตัน จะปิดฉากอย่างไร เมื่อสหภาพยุโรปขู่คว่ำร่างข้อตกลง

EU ประกาศปฏิเสธร่างข้อตกลง COP30 ฉบับล่าสุด เนื่องจากไม่มีการกล่าวถึงการลดและเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล วิกฤติครั้งนี้ทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อเกินกำหนดและเสี่ยงที่จะจบลงโดยไม่มีข้อตกลงร่วมกัน
KEY
POINTS
- EU ประกาศปฏิเสธร่างข้อตกลง COP30 ฉบับล่าสุด เนื่องจากไม่มีการกล่าวถึงการลดและเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
- ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและกลุ่มประเทศอาหรับคัดค้านอย่างหนักในการนำภาคพลังงานมาเป็นหัวข้อเจรจา
- บราซิลในฐานะประธานการประชุมพยายามหาทางออก แต่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถนำประเด็นเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับมาใส่ในร่างข้อตกลงหลักได้อีก
- วิกฤติครั้งนี้ทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อเกินกำหนดและเสี่ยงที่จะจบลงโดยไม่มีข้อตกลงร่วมกัน
วันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศ COP30 ในเมืองเบเลง ประเทศบราซิล ซึ่งถูกวางให้เป็นหมุดหมายสำคัญของความร่วมมือด้านภูมิอากาศโลก กลับเข้าสู่สภาวะ “ถูกจับตาทุกวินาที” หลัง สหภาพยุโรป (EU) ประกาศปฏิเสธร่างข้อตกลงฉบับล่าสุด พร้อมเตือนว่าร่างข้อความในตกลงปัจจุบันไม่เพียงพอ ต่อภารกิจเร่งด่วนด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลก
การเจรจาซึ่งกินเวลา 2 สัปดาห์ ริมผืนป่าแอมะซอน เดิมทีจะต้องปิดฉากลงในเย็นวันศุกร์ (21 พฤศจิกายน) ทว่า ความเห็นต่างรุนแรงจนทำให้วงประชุมต้องถกเถียงต่อเนื่องยาวถึงดึก และยังไม่มีสัญญาณว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ววัน
ร่างที่ตัดฟอสซิลทิ้ง จุดชนวนความตึงเครียด
ต้นตอสำคัญของความขัดแย้งอยู่ที่ร่างข้อตกลงฉบับล่าสุดซึ่งไม่มีการกล่าวถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลเลย ทั้งที่ในร่างก่อนหน้านี้เคยมีหลายตัวเลือกที่สะท้อนระดับความเข้มแข็งในการจำกัดฟอสซิล แต่ถูก “ลบออก” ตามแรงต่อต้านของผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่
ก่อนหน้านี้ มีรัฐบาลกว่า 80 ประเทศเรียกร้องให้ COP30 บรรลุแผนเลิกใช้ฟอสซิล อย่างเป็นทางการ แต่เมื่อเข้าสู่คืนวันศุกร์ หลายประเทศกลับส่งสัญญาณว่า “พร้อมยอมรับร่างที่ไม่มีประเด็นนี้” เพียงเพื่อให้ได้ข้อสรุป ไม่ให้การประชุมล้มเหลว
ทว่า EU ยืนกรานคัดค้านอย่างหนัก โดย โวปเก ฮุกสตรา กรรมาธิการด้านสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป ส่งสัญญาณชัดเจนกลางวงเจรจาว่า ไม่ว่าในกรณีใด จะไม่ยอมรับร่างในลักษณะนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- สรุป COP30 วันที่ 5 หลายชาติถอนตัวฟอสซิล เปิดกลไกใหม่เพียบ ลุยพลังงานสะอาด
- ไฟไหม้ COP30 เหตุเกิดหลังเตือนล่วงหน้า ให้เข้มความปลอดภัย เจ้าหน้าที่อพยพคน
- สรุป COP30 วันที่ 10 เร่งรัดโลกด้วย 117 แผน ปฏิรูประบบอาหาร ลดคาร์บอนปุ๋ยเคมี
- ไทยขึ้นเวทีระดับสูง COP30 หนุนระดมทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อประโยชน์ชาติ
แหล่งข่าวหลายรายเปิดเผยบรรยากาศตึงเครียดว่า สหภาพยุโรปถึงขั้นกำลัง พิจารณาถอนตัวจากโต๊ะเจรจา หากร่างข้อตกลงไม่ถูกปรับให้มีความเข้มแข็งด้านการลดการปล่อยก๊าซมากกว่านี้ ถือเป็นสัญญาณแรงที่สุดที่ EU ส่งออกมาในรอบการประชุมครั้งนี้
ขณะเดียวกัน มีผู้เจรจาบราซิลชี้ว่า ประเด็นเรื่องเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่น่าจะถูกนำกลับมาใส่ในร่างข้อตกลงได้อีกแล้ว โดยฝ่ายประธานการประชุมมุ่งปรับข้อความเพียงเล็กน้อยจากร่างปัจจุบัน ไม่ใช่การเขียนใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งสะท้อนว่าพื้นที่ต่อรองเริ่มเหลือน้อยลงทุกขณะ
หนึ่งในทางเลือกที่ถูกหยิบมาหารือเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ คือการจัดทำ “ข้อตกลงอาสา” แยกต่างหากเกี่ยวกับฟอสซิล ให้ประเทศที่ต้องการลงนามสามารถเข้าร่วมได้โดยสมัครใจ แต่จะไม่ถูกนับเป็นมติร่วมของ COP30 ทั้งหมด
แนวทางที่อาจช่วย "รักษาหน้า" ทางการทูต แต่ก็สะท้อนรอยปริแตกของฉันทามติที่ยากจะปิดบัง
บราซิลหวังเป็นเวที “สมานฉันท์โลก”
ฝ่ายเจ้าภาพบราซิล วาง COP30 เป็นจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อของความเป็นไปได้ในการร่วมกันรับมือวิกฤติโลกร้อน โดยเรียกร้องให้ทุกประเทศ “ข้ามเส้นแบ่งความขัดแย้ง” และร่วมกันหาฉันทามติในประเด็นการลดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
อังเดร กอร์เรอา โด ลาโก ประธาน COP30 กล่าวย้ำต่อที่ประชุมใหญ่ว่า นี่ไม่ควรเป็นวาระที่แบ่งแยกเรา หากต้องการปกป้องอนาคตร่วมกัน ต้องหาทางก้าวข้ามความขัดแย้งและบรรลุข้อตกลงร่วมกันให้ได้
แต่คำขอนั้นดูเหมือนจะยากยิ่งขึ้น เมื่อ EU ยืนกรานว่าร่างข้อตกลงปัจจุบัน “อ่อนเกินไป” และไม่สะท้อนความพยายามจริงจังในการลดก๊าซเรือนกระจก แม้ EU จะส่งสัญญาณว่าสามารถ “ขยับออกจากคอมฟอร์ทโซน” เพื่อเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินแก่ประเทศกำลังพัฒนา แต่มีเงื่อนไขชัดเจนว่าต้องมีความเข้มแข็งด้านการลดการปล่อยควบคู่กัน
ด้านประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บางประเทศสวนกลับ EU โดยระบุว่า หากโลกยังมีเส้นทางของฟอสซิลต่อไป ก็จำเป็นต้องมี “เส้นทางด้านเงินทุน” ที่ชัดเจนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
กลุ่มอาหรับยืนยัน ไม่ควรแตะอุตสาหกรรมพลังงาน
ความซับซ้อนของการเจรจาเพิ่มขึ้นอีกขั้น เมื่อกลุ่มประเทศอาหรับทั้ง 22 ชาติ รวมถึงซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่งสัญญาณชัดเจนในการประชุมลับว่า “ภาคพลังงานของพวกเขาไม่ควรถูกนำมาเป็นหัวข้อเจรจา” โดยมองว่าประเด็นนี้กระทบโดยตรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งทำให้บรรยากาศของโต๊ะเจรจาตึงเครียดมากยิ่งขึ้น
ซาอุดีอาระเบียยังได้ส่งแถลงการณ์ไปถึงผู้เจรจา เตือนว่าความพยายามใดๆ ที่ถูกมองว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของตน อาจนำไปสู่การเจรจาล้มเหลวได้
พหุภาคีนิยมสั่นคลอน ยุคที่โลกไร้เอกภาพ
ร่างข้อตกลงยังเรียกร้องให้ “เพิ่มเงินทุนด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ 3 เท่า” ภายในปี 2030 จากระดับปี 2025 แต่กลับไม่ระบุชัดเจนว่าเงินจะมาจากประเทศร่ำรวยโดยตรง หรือจากสถาบันอย่างธนาคารพัฒนาและภาคเอกชน ทำให้หลายประเทศมองว่ายังไม่ชัดและยังไม่ผูกพันพอ
สิ่งที่ทำให้ COP30 ถูกจับตาอย่างหนักคือการต้องได้รับความเห็นชอบจาก “เกือบ 200 ประเทศ” โดยแนวทางของ COP ไม่สามารถใช้มติเสียงข้างมากได้ แต่ต้องเป็น “ฉันทามติ” เท่านั้น ซึ่งทำให้ความเห็นต่างเพียงประเทศเดียวสามารถชะลอหรือคว่ำข้อตกลงทั้งฉบับได้
ประธานการประชุม COP30 เตือนว่า ตอนนี้ไม่ใช่แค่การเจรจา แต่เป็นการส่งสัญญาณถึงอนาคตของความร่วมมือพหุภาคี โดยเฉพาะเมื่อ สหรัฐอเมริกาแทบไม่ปรากฏบทบาทในปีนี้ ภายใต้รัฐบาลของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่เคยประกาศว่าภาวะโลกร้อนเป็น “เรื่องหลอกลวง”
เดิมพันของ COP30 คือความน่าเชื่อถือ
การเจรจาที่สั่นคลอนด้วยประเด็นฟอสซิล เงินทุน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ COP30 กลายเป็นบททดสอบสำคัญว่าประเทศต่างๆ พร้อมร่วมมือเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากโลกร้อนหรือไม่
แม้หลายประเทศต้องการ “รักษาการประชุม" โดยยอมประนีประนอม แต่ EU ยุโรปมองว่า หากยอมให้ร่างอ่อนเกินไป ก็เหมือน “สูญเสียคุณค่ายของ COP” ทั้งหมด
การตัดสินใจขั้นสุดท้ายอาจเกิดขึ้นในชั่วโมงสุดท้าย หรืออาจไม่มีข้อตกลงใดๆ ให้ประกาศเลย ซึ่งจะสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ต่อความน่าเชื่อถือของระบบสหประชาชาติ (United Nations: UN) ด้านสภาพภูมิอากาศ
โลกจึงเฝ้ารอ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ของร่างข้อตกลง แต่คือคำตอบว่า มนุษยชาติยังมีความสามารถร่วมกันในการเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีหรือไม่
อ้างอิง: Reuters
ที่มารูป: COP 30 Press Office (COP30 Brasil Amazônia)







