สรุป COP30 วันที่ 10 เร่งรัดโลกด้วย 117 แผน ปฏิรูประบบอาหาร ลดคาร์บอนปุ๋ยเคมี

การประชุม COP30 วันที่ 10 มุ่งเน้นการปฏิรูประบบอาหารโลก โดยมีความคืบหน้าจากแผนปฏิบัติการเร่งรัด 117 แผน (PAS) ที่เน้นการลงมือทำจริงมากกว่าการเจรจา
KEY
POINTS
- การประชุม COP30 วันที่ 10 มุ่งเน้นการปฏิรูประบบอาหารโลก โดยมีความคืบหน้าจากแผนปฏิบัติการเร่งรัด 117 แผน (PAS) ที่เน้นการลงมือทำจริงมากกว่าการเจรจา
- มีการเปิดตัวโครงการสำคัญหลายด้านเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เช่น โครงการ RAIZ เพื่อฟื้นฟูที่ดินเกษตรเสื่อมโทรม และการพัฒนาอาหารจากระบบนิเวศทางน้ำและสาหร่ายให้เป็น "อาหารแห่งอนาคต"
- สหราชอาณาจักรและบราซิลประกาศแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมีภายในปี 2035 โดยจะสร้างมาตรฐานสากลสำหรับ "ปุ๋ยคาร์บอนต่ำ" และใช้เทคโนโลยีช่วยเกษตรกร
“กรุงเทพธุรกิจ” เกาะติดสถานการณ์การประชุม COP30 การประชุมในวันที่ 10 (19 พฤศจิกายน 2025) ถูกขับเคลื่อนด้วยเพื่อตอบคำถาม “เราจะสร้างระบบอาหารแห่งอนาคตที่แข็งแรง เป็นธรรม และทนทานต่อสภาพภูมิอากาศได้อย่างไร” โดยตลอดทั้งวันมีการเปิดตัวโครงการระดับโลก หลักฐานเชิงปฏิบัติ และความคืบหน้าจากหลายภาคส่วนที่สะท้อนว่า การปฏิรูปการผลิตอาหารคือรากฐานของการปกป้องผู้คนและเศรษฐกิจในโลกที่กำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ธีมหลักของวันครอบคลุมทั้งภาคเกษตร ระบบอาหาร ความมั่นคงทางอาหาร การประมง เกษตรกรรายย่อย ผู้หญิง ความเท่าเทียมทางเพศ ชุมชนแอฟโฟร-ดิแอซเซนแดนท์ และการท่องเที่ยว ทั้งหมดสะท้อนว่า การแก้ปัญหาอาหารคือการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศและคุณภาพชีวิตมนุษย์
RAIZ Accelerator พลิกฟื้นผืนดินเสื่อมโทรมทั่วโลก
หนึ่งในความคืบหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการเปิดตัว Resilient Agriculture Investment for Net-Zero Land Degradation (RAIZ) โดยมี 10 ประเทศร่วมสนับสนุน ได้แก่ บราซิล ออสเตรเลีย แคนาดา ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ เปรู ซาอุดีอาระเบีย อุรุกวัย และสหราชอาณาจักร
จุดเด่นของ RAIZ คือ ฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรเสื่อมโทรมทั่วโลกโดยใช้เงินทุนเอกชนเป็นตัวขับเคลื่อน, ใช้เทคโนโลยีทำแผนที่แบบ interactive mapping เพื่อระบุพื้นที่ลงทุนที่คุ้มค่า, และพัฒนาโมเดล blended finance ลดความเสี่ยงให้ภาคเอกชน
ได้แรงบันดาลใจจากโครงการ Green Way และ EcoInvest ของบราซิล ที่เคยระดมได้เกือบ 6 พันล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟูทุ่งหญ้ากว่า 3 ล้านเฮกตาร์
ตัวเลขชี้ชัดปัญหา เช่น พื้นที่เกษตรเสื่อมโทรมทั่วโลกมากกว่า 1 พันล้านเฮกตาร์ (20% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด) หากฟื้นฟูเพียง 10% จะผลิตอาหารเพิ่มได้ 44 ล้านตัน/ปี เพียงพอให้คน 154 ล้านคน ได้รับโภชนาการเพียงพอ
117 แผนเร่งรัดภายใต้ COP30 Action Agenda
เวที High-Level Event สะท้อนภาพชัดเจนว่า COP30 Action Agenda รุ่นใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงกรอบแนวคิด แต่กำลัง ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจริง พร้อมสร้าง ผลลัพธ์รูปธรรม ที่เห็นได้แล้วในหลายประเทศและหลายภาคส่วน
ประเด็นสำคัญของเวที ได้แก่
- เฉลิมฉลองความก้าวหน้าของ 117 PAS (Priority Action Steps) ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง COP29–COP30, สำนักเลขาธิการ UNFCCC, คณะทูตสภาพภูมิอากาศ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน
- ย้ำจุดยืนของ COP30 ว่า “การลงมือทำสำคัญกว่าการเจรจา” จากเดิมที่การประชุม COP มักเน้นถ้อยคำเจรจา ครั้งนี้หันมามุ่งเน้น ผลลัพธ์เชิงปฏิบัติ (implementation-led COP) เป็นแกนกลาง
- นำเสนอวิสัยทัศน์ร่วมระยะ 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับบทสรุปของ Global Stocktake และกำหนดทิศทางเร่งรัดการลดการปล่อยและเสริมความพร้อมรับมือของทุกประเทศ
อาหารแห่งอนาคตที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ
เวที COP30 เปิดตัวความร่วมมือครั้งสำคัญ เมื่อพันธมิตรระดับโลกประกาศแผน PAS ใหม่ 2 ฉบับ เพื่อเร่งขับเคลื่อนการพัฒนาระบบอาหารทางน้ำและการเพาะเลี้ยงสาหร่าย โดยร่วมกับ UNGSI และ FAO สู่การสร้าง “อาหารแห่งอนาคต” ที่มีความยืดหยุ่นสูงต่อสภาพภูมิอากาศที่ผันผวน
ประเด็นการดำเนินงานหลัก
- ผลักดันให้ระบบอาหารน้ำและสาหร่ายถูกบรรจุใน NDCs และ NAPs เพื่อให้ประเทศต่างๆ นำไปสู่การวางแผนด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นทางการและยั่งยืน
- พัฒนาระบบข้อมูลโลก (global data systems) เพื่อใช้ติดตามผลผลิต ประเมินความเสี่ยง และสนับสนุนการวางนโยบายด้วยข้อมูลที่แม่นยำและทันสมัย
- จัดตั้งธนาคารพันธุกรรม (genebanks) ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของสายพันธุ์ทางน้ำ ทั้งสัตว์น้ำและสาหร่าย เพื่อความมั่นคงของอาหารในระยะยาว
- เปิดโอกาสทางการเงินให้ผู้หญิง เยาวชน และ SMEs ผ่านการเข้าถึงเงินทุน เครื่องมือทางการเงิน และการสนับสนุนด้านนวัตกรรม เพื่อสร้างเศรษฐกิจสีน้ำเงินที่ขยายโอกาสสู่ทุกกลุ่ม
ระบบอาหารน้ำเป็นแหล่งสร้างงานที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนชายฝั่งและแรงงานหญิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศมากที่สุด การยกระดับระบบอาหารน้ำจึงไม่ใช่เพียงมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการเสริมความมั่นคงด้านรายได้และคุณภาพชีวิตของชุมชนอีกด้วย
ขยายเครือข่ายระบบอาหารโลก
เวที COP30 เห็นความก้าวหน้าเชิงระบบอีกครั้ง เมื่อ Alliance of Champions for Food Systems Transformation (ACF) ประกาศต้อนรับสมาชิกใหม่ 3 ประเทศ ได้แก่ โคลอมเบีย เวียดนาม และอิตาลี สะท้อนการขยายตัวของพันธมิตรที่มุ่งผลักดันการปฏิรูประบบอาหารให้ยั่งยืนและรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ดียิ่งขึ้น
ผลงานสำคัญของ ACF ที่ถูกนำเสนอ ได้แก่
- เผยแพร่ Progress Frameworks จากประเทศสมาชิก เพื่อแสดงความคืบหน้าเชิงรูปธรรมของการปฏิรูประบบอาหาร ทั้งด้านนโยบาย การผลิต การกระจายผลประโยชน์ และผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
- เปิดตัวแผน PAS ร่วมกับ 10 ความร่วมมือระดับโลก อาทิ I-CAN, CGIAR, WWF Food Forward Initiative, AGRA และองค์กรด้านอาหาร-สภาพภูมิอากาศชั้นนำอีกหลายเครือข่าย
ความร่วมมือนี้เน้นการเชื่อมโยงงานวิจัย นวัตกรรม และการสนับสนุนทางเทคนิค เพื่อเร่งการลงมือทำในประเทศต่างๆ การขยายเครือข่ายและการเปิดตัวเครื่องมือใหม่ๆ เป็นสัญญาณชัดเจนว่า การปฏิรูประบบอาหารกำลังก้าวจากแนวคิด สู่การประสานงานระดับโลกที่เป็นรูปธรรม และกำลังสร้างแรงส่งสำคัญเพื่อให้ระบบอาหารโลกสามารถ ลดการปล่อย เพิ่มความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ และสร้างความเป็นธรรมให้เกษตรกรและผู้บริโภค นับเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านระบบอาหารทั่วโลกอย่างแท้จริง
ก้าวสำคัญสู่การลดคาร์บอนจากปุ๋ยเคมี
ในเวที COP30 สหราชอาณาจักรและบราซิลได้ประกาศ Belém Declaration on Fertilizers พร้อมเปิดตัวแผน Plan to Accelerate Solutions (PAS) ที่มีเป้าหมายเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมปุ๋ยและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ธาตุอาหารภายในปี 2035 โดยการร่วมมือระดับโลกครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในความพยายามสำคัญที่จะยกระดับความยั่งยืนของระบบอาหารและลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ
แก่นสำคัญของแผน PAS คือ มาตรฐานระดับสากล ความร่วมมือระหว่าง Hydrogen Council และ UNIDO เพื่อพัฒนามาตรฐานสากลฉบับแรกของโลกสำหรับ “ปุ๋ยคาร์บอนต่ำ” ที่จะเป็นเกณฑ์ชี้นำอุตสาหกรรมในอนาคต
กลไกสร้างดีมานด์ คือ จัดตั้งโครงการต้นแบบสำหรับการผลิตและใช้ปุ๋ยแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ พร้อมสร้างพันธมิตรผู้ซื้อระดับโลก เพื่อกระตุ้นความต้องการและการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สนับสนุนซัพพลาย มุ่งส่งเสริมและสนับสนุนประเทศต่างๆ ในการตั้งโรงงานผลิตปุ๋ยคาร์บอนต่ำที่ทันสมัย เพื่อลดการปล่อยก๊าซจากต้นทางการผลิต
ระดับไร่นาจะนำเทคโนโลยี AI และเครื่องมือดิจิทัลเข้าช่วยเกษตรกรในการใช้ปุ๋ยอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการสูญเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แผน PAS นี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรชั้นนำระดับโลก ได้แก่ FAO, IEA, The World Bank, IFA, CGIAR, WRI และได้รับการเข้าร่วมประกาศจาก ญี่ปุ่นและแคนาดา เพื่อแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในระดับนานาชาติ
วาเลรี ฮิกกี้ ผู้อำนวยการ Global Director Climate Change ธนาคารโลก กล่าวว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้ลงทุนกว่า 77 พันล้านดอลลาร์ในระบบอาหารทั่วโลก และเรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มการลงทุนมากขึ้นอีกในอนาคต เพราะเกษตรกรรายย่อยที่อยู่แนวหน้าของวิกฤตภูมิอากาศ กำลังเผชิญกับภาระและความท้าทายอย่างหนัก
Gender Day ผู้หญิงคือผู้นำ ไม่ใช่เพียงผู้ได้รับผลกระทบ
วัน Gender Day ในเวที COP30 ตอกย้ำบทบาทสำคัญของผู้หญิงในฐานะ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยไม่จำกัดเพียงการเป็นกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบ แต่เป็นผู้ขับเคลื่อนนโยบาย การฟื้นฟู และความยืดหยุ่นของชุมชนอย่างแท้จริง
บราซิลเปิดตัวโปรโตคอลเสริมพลังผู้หญิงในภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ พัฒนาโดยความร่วมมือของ รัฐบาลบราซิล, UNDRR, และ UN Women ครอบคลุมทั้ง 3 ระยะของการบริหารความเสี่ยงพิบัติ คือ การป้องกัน การเตรียมพร้อมและรับมือภัยพิบัติ และการฟื้นฟูหลังวิกฤติ
โปรโตคอลนี้เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้การจัดการภัยพิบัติมีมิติความเท่าเทียมทางเพศเป็นแกนกลาง พร้อมยกระดับศักยภาพผู้หญิงในชุมชนให้มีบทบาทในการตัดสินใจ
กิจกรรมเด่นใน Gender Day เช่น เวที “Women: Voices that Guide the Future”
เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงจาก 6 ไบโอมของบราซิล ถ่ายทอดเสียงจริง ประสบการณ์จริง และบทเรียนจากการทำงานด้านภูมิอากาศในพื้นที่ ตั้งแต่ป่าอเมซอน ทุ่งหญ้าเซร์ราโด ไปจนถึงพื้นที่กึ่งแห้งแล้งและเขตอบอุ่น เวทีนี้สะท้อนว่า ภูมิปัญญาของผู้หญิง คือรากฐานสำคัญของการปรับตัวและการฟื้นฟูของชุมชนท้องถิ่น
เสียงจากชุมชนและเยาวชน
Mutirão in the Territories ชุมชนคือผู้กำหนดอนาคตของภูมิอากาศ การประชุมพิเศษในเวที COP30 เน้นให้เห็นว่า ชุมชนท้องถิ่นทั่วโลก ตั้งแต่ชุมชนชายป่า พื้นที่เมืองยากจน ไปจนถึงหมู่บ้านชนบท กำลังเป็นผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนโซลูชันด้านภูมิอากาศด้วยพลังของตัวเอง แม้จะมีทรัพยากรจำกัด แต่พวกเขากลับสร้างแนวทางแก้ปัญหาที่จับต้องได้และเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนจริงในพื้นที่ของตน
ตัวอย่างโซลูชันที่เกิดขึ้นจากชุมชน ได้แก่
-
แผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศระดับท้องถิ่น ที่สะท้อนความต้องการและบริบทเฉพาะพื้นที่
-
การฟื้นฟูป่าและภูมิทัศน์เสื่อมโทรม ที่ช่วยกักเก็บคาร์บอนและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
-
เกษตรนิเวศและโซลูชันที่ใช้ธรรมชาติเป็นฐาน เพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืนและลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก
-
ระบบจัดการป่าชุมชน ที่สร้างทั้งรายได้ ความมั่นคงทางอาหาร และการอนุรักษ์ระบบนิเวศไปพร้อมกัน
แม้โครงการและความพยายามจากชุมชนเหล่านี้จะพิสูจน์แล้วว่า ได้ผลจริง และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก แต่เสียงของพวกเขายังคงได้รับพื้นที่ไม่มากพอในระบบนโยบายระดับประเทศและเวทีโลก การสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยี และการยอมรับเชิงนโยบายยังคงเป็นช่องว่างสำคัญที่จะต้องเร่งเติมเต็ม
การเคลื่อนไหว Global Mobilization จึงส่งข้อความชัดเจนว่า หากต้องการการเปลี่ยนผ่านระบบอาหารและภูมิอากาศที่ยั่งยืนจริง เราต้องเริ่มต้นจากการยกระดับเสียงและพลังของชุมชนและเยาวชนที่กำลังกำหนดอนาคตด้วยมือของพวกเขาเอง
เสียงเยาวชนลาตินอเมริกา
ในการประชุมที่ OEI Pavilion เยาวชนลาตินอเมริกาได้ส่งสัญญาณสำคัญถึงโลกว่า การสร้างระบบพหุภาคีรูปแบบใหม่จำเป็นต้องยึดโยงกับความเป็นจริงของชุมชนและรากวัฒนธรรมในภูมิภาค โดยมองว่า การศึกษา อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ความเป็นผู้นำในท้องถิ่น และบทบาทการทูตรุ่นใหม่ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ระบบดังกล่าว ยุติธรรม โปร่งใส และมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
การสนทนาในเวทีนี้ขยายความไปสู่ประเด็นสำคัญหลายด้าน ได้แก่
-
การสร้างความไว้วางใจระหว่างวัย เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านทางภูมิอากาศเป็นงานที่ทุกเจเนอเรชันร่วมขับเคลื่อนได้จริง
-
การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในกระบวนการเจรจาระดับโลก ไม่ใช่เพียงผู้สังเกตการณ์ แต่เป็นผู้ร่วมกำหนดทิศทางนโยบาย
-
การเชื่อมการทำงานด้านภูมิอากาศกับความยุติธรรม ความเสมอภาค และองค์ความรู้ดั้งเดิม ที่เป็นหัวใจของการสร้างโซลูชันที่เหมาะสมกับภูมิภาคและยั่งยืนในระยะยาว
เสียงของเยาวชนลาตินอเมริกาจึงไม่ได้เป็นเพียงข้อเรียกร้อง แต่เป็น ข้อเสนอรูปธรรม ต่อโลกว่า การปฏิรูประบบพหุภาคีต้องเริ่มจากการฟังผู้ที่ได้รับผลกระทบใกล้ชิดที่สุด และเป็นผู้ที่จะรับช่วงอนาคตต่อไป คนรุ่นใหม่เอง
ที่มารูป: COP 30 Press Office (COP30 Brasil Amazônia)







