'เตหะราน' อิหร่าน น้ำหมดเมือง เตรียมตัดน้ำเพื่อกักเก็บ อพยพคนหากฝนยังไม่ตก

'เตหะราน' อิหร่าน น้ำหมดเมือง เตรียมตัดน้ำเพื่อกักเก็บ อพยพคนหากฝนยังไม่ตก

อิหร่าน ฝนทั่วประเทศลดลง 82% จากค่าเฉลี่ย เขื่อนอามีร์ คาบีร์เหลือน้ำ 8% ของความจุ เตหะรานใช้น้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน ประชากรกว่า 10 ล้านคนเสี่ยงขาดน้ำ รัฐบาลเตรียมตัดน้ำเป็นช่วงเวลา โครงการสูบน้ำฉุกเฉิน 80 ล้านดอลลาร์เริ่มเดินหน้า

KEY

POINTS

  • อิหร่าน ฝนทั่วประเทศลดลง 82% จากค่าเฉลี่ย
  • เขื่อนอามีร์ คาบีร์เหลือน้ำ 8% ของความจุ
  • เตหะรานใช้น้ำ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร/วัน
  • ประชากรกว่า 10 ล้านคนเสี่ยงขาดน้ำ
  • รัฐบาลเตรียมตัดน้ำเป็นช่วงเวลา
  • โครงการสูบน้ำฉุกเฉิน 80 ล้านดอลลาร์เริ่มเดินหน้า

สถานการณ์น้ำในกรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน กำลังเข้าสู่จุดวิกฤติอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยระหว่างที่ นายมาซูด เปเซชเคียน (Masoud Pezeshkian) ประธานาธิบดีอิหร่าน เยือนจังหวัดเคอร์เดสถานทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2025 ได้กล่าวว่า หากฝนยังไม่ตกภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ รัฐบาลอาจต้อง “จำกัดการใช้น้ำ” และหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ก็อาจต้องอพยพประชาชนออกจากเมืองทั้งเมือง

“สถานการณ์ในเตหะรานน่าตกใจ และถือเป็นสัญญาณเตือนร้ายแรงของวิกฤติทรัพยากรน้ำในประเทศ พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเร่งปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำและพลังงาน เพื่อให้ประเทศสามารถรับมือกับภัยแล้งที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”

ทั้งนี้ รัฐบาลอิหร่านเร่งเดินหน้าโครงการส่งน้ำฉุกเฉินจากเขื่อนที่อยู่ห่างจากกรุงเตหะรานกว่า 140 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำได้อีกประมาณ 5 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ให้กับบ้านเรือนและภาคธุรกิจในเมือง

น้ำในเขื่อนเหลือน้อยกว่า 10% เสี่ยง “วันน้ำเป็นศูนย์”

เตหะรานมีประชากรราว 10 ล้านคน และใช้น้ำมากกว่า 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยได้รับน้ำจากเขื่อนหลัก 5 แห่ง ได้แก่ ลาร์ (Lar), มัมลู (Mamlu), อามีร์ คาบีร์ (Amir Kabir), ทาเลคาน (Taleqan) และลัตยัน (Latyan) ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานอย่างน่ากังวล

รายงานจากบริษัทประปาแห่งเตหะรานระบุว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนหลักที่ใช้หล่อเลี้ยงเมืองหลวงลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ เขื่อนอามีร์ คาบีร์ (Amir Kabir) ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ที่สุด เหลือน้ำเพียง 14 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 8% ของความจุ จากเดิมปีที่แล้วที่มีถึง 86 ล้านลูกบาศก์เมตร

นายเบห์ซาด พาร์ซา (Behzad Parsa) ผู้อำนวยการบริษัทน้ำประปาเตหะราน เผยว่า หากไม่มีฝนตกเพิ่มเติม เขื่อนดังกล่าวจะสามารถจ่ายน้ำให้เมืองได้อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์

ภัยแล้งรุนแรงสุดในรอบ 100 ปี

องค์การอุตุนิยมวิทยาแห่งอิหร่านระบุว่า ปริมาณฝนทั่วประเทศในปีนี้ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 82% และในกรุงเตหะรานเองก็อยู่ในภาวะฝนตกน้อยที่สุดในรอบศตวรรษ ขณะที่มากกว่าครึ่งหนึ่งของ 31 จังหวัดทั่วประเทศไม่เห็นฝนตกเลยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

การขาดฝนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ทำให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและชั้นน้ำใต้ดินลดลงอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อทั้งการเกษตร การผลิตไฟฟ้า และการบริโภคของประชาชน

ประชาชนเริ่มเจอน้ำไม่ไหลตอนกลางคืน

เพื่อลดการใช้น้ำที่เกินความจำเป็น กระทรวงพลังงานอิหร่านได้วางแผนจำกัดการจ่ายน้ำในเขตต่างๆ ของกรุงเตหะรานเป็นช่วงเวลา โดยสื่อท้องถิ่นรายงานว่า ท่อประปาในบางพื้นที่เริ่มแห้งในช่วงกลางคืน แล้วตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน

นายอับบาส อาลี อาบาดี (Abbas Ali Abadi) รัฐมนตรีพลังงาน กล่าวว่า จำเป็นต้องลดการใช้น้ำเพื่อป้องกันความสูญเปล่า แม้จะสร้างความไม่สะดวกให้กับประชาชน แต่หากไม่ดำเนินการตอนนี้ เราอาจไม่เหลือน้ำใช้เลย

แม่น้ำแห้ง ทะเลสาบหาย

วิกฤติน้ำในอิหร่านไม่เพียงกระทบกรุงเตหะรานเท่านั้น แต่ยังส่งผลกว้างขวางไปทั่วประเทศ ดังนี้

  • ทะเลสาบอูร์เมีย (Lake Urmia) ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในทะเลสาบน้ำเค็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก หดตัวเหลือเพียงเศษเสี้ยว ของขนาดเดิม
  • พื้นที่ชุ่มน้ำหลายแห่งแห้งขอด
  • การเกษตรขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง
  • แม่น้ำและชั้นน้ำใต้ดินในหลายภูมิภาคอยู่ในระดับ “วิกฤติสุดขีด”

ภาพถ่ายดาวเทียมจากองค์การอวกาศยุโรปแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พื้นที่รอบทะเลสาบอูร์เมียกลายเป็นผืนเกลือแห้งขาวโพลน เป็นสัญลักษณ์ของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ การบริหารจัดการน้ำผิดพลาดเรื้อรังของอิหร่านตลอดหลายทศวรรษ

อิหร่านกำลังยืนอยู่บนเส้นแบ่งระหว่าง “การอยู่รอด” และ “วิกฤตน้ำหมดประเทศ” การเตือนของผู้นำสูงสุดครั้งนี้ไม่ใช่แค่สัญญาณภัยแล้งทั่วไป แต่สะท้อนถึง หายนะด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรที่ผิดพลาด ซึ่งหากไร้ฝนและไร้มาตรการระยะยาว เมืองใหญ่อย่างเตหะรานอาจกลายเป็น “มหานครไร้น้ำ” ภายในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า

 

 

 

อ้างอิง: AA, France 24, Caspian News