ไม่ต้องรอสนธิสัญญาโลก ทั่วโลกและไทยเร่ง สู้ศึก 'มลพิษพลาสติก'

แม้การเจรจาทำสนธิสัญญาพลาสติกโลกยังไม่บรรลุข้อสรุป แต่ความหวังที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่โต๊ะเจรจา แต่เป็นการขับเคลื่อนอย่างไม่หยุดยั้งของรัฐบาล ภาคธุรกิจ และชุมชนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่กำลังเปลี่ยนความมุ่งมั่นให้เป็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
KEY
POINTS
- แม้การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกจะยังไม่สรุปผล แต่หลายประเทศรวมถึงไทยไม่ได้หยุดนิ่งและได้เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกในระดับประเทศแล้ว
- ประเทศไทยมี "แผนที่นำทางการจัดการขยะพลาสติก" เป็นกรอบการทำงานหลัก โดยตั้งเป้าหมายลดและเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี พ.ศ. 2570
- การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาในไทยเกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และโครงการนำร่องต่างๆ เช่น การส่งเสริมหลักการ EPR และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ทางเลือก
การประชุมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งล่าสุด ณ กรุงเจนีวา ได้รับความสนใจจากผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก แต่การประชุมจบลงโดยที่ยังไม่มีการจัดทำร่างข้อความสุดท้าย ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนของปัญหาและความท้าทายในการรวม 180 ประเทศให้มีแผนร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การเจรจาระหว่างประเทศเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราว เพราะขณะที่ผู้นำกำลังถกเถียงข้อกฎหมาย โลกส่วนใหญ่ไม่ได้หยุดนิ่ง รัฐบาล บริษัท และชุมชนต่าง ๆ กำลังก้าวไปข้างหน้า โดยการกำหนดแผนปฏิบัติการพลาสติกแห่งชาติ (NPAPs) การลงทุนในระบบรวบรวมและรีไซเคิลที่ดีขึ้น และการกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับการออกแบบผลิตภัณฑ์
ความคืบหน้าในประเทศไทย มุ่งสู่การจัดการแบบครบวงจร
ประเทศไทยได้แสดงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกอย่างต่อเนื่อง โดยมี "แผนที่นำทางการจัดการขยะพลาสติกของประเทศ พ.ศ. 2561 – 2573" เป็นกรอบการทำงานหลัก
เป้าหมายชัดเจน: กำหนดให้มีการ ลดและเลิกใช้ พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use plastics) และ นำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ (รีไซเคิล) ให้ได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2570
การลด ละ เลิก: มีการกำหนดเป้าหมายให้เลิกใช้พลาสติกเป้าหมาย เช่น โฟมบรรจุอาหาร ถุงพลาสติกหูหิ้วขนาดความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน (ถุงแบบบาง) แก้วน้ำพลาสติก (แบบบาง) และหลอดพลาสติก โดยบางรายการมีเป้าหมายเลิกใช้ภายในปี พ.ศ. 2565 และ พ.ศ. 2570
การขับเคลื่อนจากภาคส่วนต่าง ๆ
- มีการส่งเสริมให้ใช้ หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) เพื่อให้ผู้ผลิตมีส่วนรับผิดชอบในการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ของตน (ข้อมูลจาก Greenpeace Thailand)
- ภาคเอกชน ได้ร่วมมือลดการใช้พลาสติก เช่น บางแพลตฟอร์มส่งอาหารได้พัฒนาตัวเลือกไม่รับช้อนส้อมหรือถุงพลาสติก และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือก (ข้อมูลจากวุฒิสภา)
- มีโครงการนำร่องที่ประสบความสำเร็จ เช่น โครงการ "Upcycling the Oceans, Thailand" ที่เปลี่ยนขยะพลาสติกในทะเลให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่น โดยมีพื้นที่นำร่องในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลสำคัญ (ข้อมูลจาก PTT Global Chemical)
องค์กรภาคธุรกิจไทยบางแห่ง เช่น Indorama Ventures ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรใน Global Plastic Action Partnership (GPAP) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกในการเร่งการจัดการมลพิษพลาสติก เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน (ข้อมูลจาก Indorama Ventures)
บทเรียนจากทั่วโลก การลงมือทำคือความหวัง
ประสบการณ์จาก Global Plastic Action Partnership (GPAP) ในประเทศต่าง ๆ เช่น กานา ที่มีการฝึกอบรมด้านการเงินให้กับผู้หญิง และการจัดตั้งสมาคมผู้เก็บขยะอย่างเป็นทางการ หรือที่ เอกวาดอร์ ซึ่งนำ NPAP ไปขับเคลื่อนการจัดการพลาสติกในหมู่เกาะกาลาปากอส ล้วนเป็นหลักฐานว่า การนำนโยบายไปปฏิบัติในระดับประเทศและท้องถิ่นคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด
- ความชัดเจนทางกฎหมายนำไปสู่นวัตกรรม: ดังเช่นความสำเร็จของ พิธีสารมอนทรีออล ในปี พ.ศ. 2530 ที่สามารถลดการใช้สารทำลายชั้นโอโซนได้ถึง 99% ความชัดเจนของนโยบายจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด ทำให้ต้นทุนการปฏิบัติตามลดลง และดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนในรูปแบบธุรกิจใหม่
- ความร่วมมือระดับภูมิภาค: ในขณะที่การเจรจาระดับโลกยังดำเนินอยู่ ความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น แผนปฏิบัติการอาเซียนในการต่อต้านขยะทะเล ก็เป็นกลไกสำคัญในการประสานมาตรฐานและเร่งรัดความทะเยอทะยานร่วมกัน
ความหวัง จึงไม่ได้ตั้งอยู่บนคำสัญญาในอนาคต แต่ หยั่งรากอยู่บนความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นแล้ว ทั่วโลกและประเทศไทยต่างตระหนักว่าวิกฤติพลาสติกเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ การมีหรือไม่มีสนธิสัญญาโลกจึงไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการหยุดนิ่ง แต่เป็น เสียงเรียกร้องให้เร่งดำเนินการในสิ่งที่ได้ผล เพื่อพิสูจน์ว่า การยุติมลพิษพลาสติกเป็นสิ่งที่ ทำได้และต้องไม่รอช้า
ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ , World Economic Forum







