ดร.พิรุณ ย้ำ 4 เดือน จ่อ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เข้า ครม. กุญแจดัน Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

ดร.พิรุณ ย้ำ 4 เดือน จ่อ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เข้า ครม. กุญแจดัน Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ ตั้งเป้าเสนอร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 4 เดือน

KEY

POINTS

  • กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งเป้าเสนอร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 4 เดือน
  • กฎหมายฉบับนี้เป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของไทยให้เร็วขึ้น 15 ปี จากปี 2065 เป็นปี 2050
  • ร่าง พ.ร.บ. ประกอบด้วยกลไกทางการเงิน และการกำกับดูแลที่สำคัญ เช่น กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund), ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซ (ETS) และภาษีคาร์บอน เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

“ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช” อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม บรรยายในหัวข้อ "Climate Change Act - A Call to Action" บนเวที “A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” ซึ่งจัดโดย 'กรุงเทพธุรกิจ' ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 (SX2025) ว่า รัฐบาลมีธงในการปรับเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศไทยให้เร็วขึ้นจากปี 2065 เป็น ปี 2050 และยืนยันว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว โดยมี ‘ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ (พ.ร.บ. ลดโลกร้อน) เป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อกทุกสิ่งทุกอย่าง

“ดร.พิรุณ” กล่าวว่า แม้จะมีบางกลุ่มที่ตั้งคำถามถึงปรากฏการณ์โลกร้อน แต่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับทั่วโลกชี้ชัดว่า ตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมในปี 1850 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สูงขึ้นตามกิจกรรมการใช้พลังงาน และอุณหภูมิโลกก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีสได้ถูกก้าวข้ามไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว และปีนี้อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.75 องศาเซลเซียส ซึ่งนำมาซึ่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นทั่วโลก

ดร.พิรุณ ย้ำ 4 เดือน จ่อ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เข้า ครม. กุญแจดัน Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

ภัยพิบัติพุ่ง สหรัฐ เสียหาย 2.9 ล้านล้านดอลลาร์

เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง “ดร.พิรุณ” ยกตัวอย่างความเสียหายในสหรัฐอเมริกา ที่แม้ผู้นำจะเคยปฏิเสธความเชื่อเรื่องโลกร้อน แต่ในช่วง 44 ปีที่ผ่านมา (1980 – 2024) แต่สหรัฐ ประสบภัยพิบัติที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศรวม 403 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยอัตราเฉลี่ยการเกิดภัยพิบัติย้อนหลัง 44 ปี อยู่ที่ 9 ครั้งต่อปี แต่ในช่วงสั้นๆ ปี 2022-2024 อัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 24 ครั้งต่อปี และเฉพาะในปี 2024 ปีเดียว เกิดภัยพิบัติสูงถึง 27 ครั้ง คิดเป็นความสูญเสีย 183,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นโยบายเรือธงของรัฐบาลไทย

สำหรับการขับเคลื่อนในประเทศ “ดร.พิรุณ” ได้ขอบคุณนโยบายเรือธงของรัฐบาลภายใต้การนำของท่าน 'อนุทิน ชาญวีรกูล' นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และท่าน 'สุชาติ ชมกลิ่น' รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เน้นย้ำนโยบายการจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติผ่านระบบ Early Warning System และการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

“เราไม่มีทางหยุดยั้งภัยธรรมชาติได้ แต่สิ่งที่ทำได้ทั้งในฐานะประชาชน และรัฐบาล คือ ลดความสูญเสีย และความเสียหาย ซึ่งนี่แหละครับคือ สิ่งที่สำคัญที่สุด ท่านนายกฯ ก็พูดไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ต้องเป็นเรื่องพลังงานสะอาด เรื่องคาร์บอนเครดิต เรื่องการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่างรถ EV ซึ่งประเทศไทยเราก็มีฐานพอสมควรอยู่แล้ว นี่คือ ‘นโยบายเรือธง’ ของรัฐบาล”

ดร.พิรุณ ย้ำ 4 เดือน จ่อ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เข้า ครม. กุญแจดัน Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

เป้าหมายใหม่ Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

“ทันทีที่ท่านนายกฯ ประกาศเป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ผมก็ถูกยิงคำถามกลับมาทันที เป็นร้อยคำถามว่า ทำได้จริงเหรอ? ผมก็ต้องบอกว่า ‘ทำได้’ แต่ถ้าพูดว่าทำได้เฉยๆ โดยไม่มีอะไรอยู่ในมือ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการตามๆ กันไป ซึ่งไม่ใช่วิธีการทำงานของระบบราชการยุคใหม่แน่นอน" ดร.พิรุณ กล่าว

"เป้าหมายปี 2030 ที่ประเทศไทยประกาศไว้ว่า จะลดก๊าซเรือนกระจกลง 30-40% วันนี้เราเดินหน้าแล้วใน 5 ภาคส่วนหลักๆ ได้แก่ พลังงาน คมนาคม อุตสาหกรรม ของเสีย และการเกษตร ซึ่งลดได้ถึง 75 ล้านตัน เกินกว่า KPI ที่เราตั้งไว้ที่ 65 ล้านตันเสียอีก แปลว่าเรายัง ‘on track’ เพื่อไปสู่เป้าหมายปี 2030 อย่างที่ตั้งใจไว้”

รากฐานความคืบหน้าของไทย

“ดร.พิรุณ” อธิบายถึงความคืบหน้าของไทยว่ามีดังนี้

  • ความคืบหน้า 2030 : เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกปี 2030 ที่ 30-40% ขณะนี้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซใน 5 ภาคส่วนหลัก (พลังงาน, ขนส่ง, อุตสาหกรรม, ของเสีย, เกษตร) ได้แล้ว 75 ล้านตัน ซึ่งเกินกว่า KPI ที่กำหนดไว้ที่ 65 ล้านตัน
  • NDC 3.0 : ประเทศไทยจะประกาศเป้าหมายใหม่ (NDC 3.0) ในการประชุม COP 30 ที่บราซิล เดือนพฤศจิกายน นี้ โดยตั้งเป้าจะลดก๊าซเรือนกระจกได้ 109.2 ล้านตัน และเพิ่มการดูดกลับอีก 118 ล้านตัน ทำให้ Net Emission ของไทยในปี 2035 (2578) อยู่ที่ 152 ล้านตัน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero 2050
  • แผนลงทุน : ใน NDC 3.0 ได้ระบุ Financial Investment Plan ปี 2035 ไว้แล้ว โดยต้องการเงินลงทุนประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดคาร์บอน 32.8 ล้านตัน (30% ของเป้าหมาย)

ดร.พิรุณ ย้ำ 4 เดือน จ่อ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน เข้า ครม. กุญแจดัน Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี

ดัน พ.ร.บ.โลกร้อน เข้า ครม. ใน 4 เดือน

“ดร.พิรุณ” กล่าวถึงเรื่องร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ว่า ตอนนี้ได้เร่งฟังความเห็นไปกว่า 30 หน่วยงาน และก็ได้คำตอบกลับมาครบหมดแล้ว

“พอรัฐบาลชุดเก่าเดินต่อไม่ได้ จึงมีการคืนเรื่องกลับมา แต่ผมก็ได้ชี้แจง และยืนยันกลับไปที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอเข้าสู่การพิจารณาของสภาต่อไป ซึ่งผมมั่นใจว่า ภายใน 4 เดือนนี้ ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะได้รับความเห็นชอบจาก ครม. และส่งต่อเข้าสู่กระบวนการของสภาตามขั้นตอน”

ร่างฉบับนี้มีทั้งหมด 205 มาตรา 14 หมวด และ 1 บทเฉพาะกาล โดยสาระหลักๆ แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • หมวดนโยบาย และแผน - วางภาพรวมของประเทศ กำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • กลไกด้านการกำกับดูแล
  • กลไกทางการเงิน - ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ

"ถ้ารัฐบาลหรือหน่วยงานออกกฎเกณฑ์โดยไม่มีมาตรการสนับสนุน ประเทศไทยไม่มีทางเปลี่ยนผ่านได้ เราจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างการบังคับใช้ และการสนับสนุนไปพร้อมกัน"

ยกตัวอย่างประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ถ้ามีกฎหมายนี้ เราจะสามารถแข่งขันกับมาตรการ CBAM ของยุโรปได้ เงินที่ควรอยู่ในไทย ก็ไม่ต้องไหลออกไป ขณะที่สินค้าเขียว (Green Products) ที่ตลาดโลกต้องการสูง เราก็จะสร้าง Supply รองรับได้ ส่วนระบบคาร์บอนเครดิต ตลาดซื้อขายคาร์บอน รวมถึงการรักษาฐานการส่งออกก็จะเกิดขึ้นจริง และที่สำคัญ จะสร้าง Momentum ดึงดูดให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลเองก็ต้องสร้าง Ecosystem การลงทุน ที่เอื้อต่อ Low Carbon Investment ด้วย

“เรามั่นใจว่า ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มี 205 มาตรา และ 14 หมวด จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งหมด โดยมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การสร้างความสมดุลทั้งด้านการบังคับ และสนับสนุน และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะ SME พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์กับคน 66 ล้านคน”

กลไกใน พ.ร.บ. สร้างการเปลี่ยนผ่าน

“ดร.พิรุณ” อธิบายต่อว่า ร่าง พ.ร.บ. หากไม่มีการสนับสนุนทางการเงิน ประเทศไทยจะไม่สามารถเปลี่ยนผ่านได้

1. กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) : เป็นหมวดที่ 4 กองทุนนี้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะมาจาก การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในภาคอุตสาหกรรม กองทุนจะเริ่มดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในปี 2574 (2031) เมื่อกลไก ETS เริ่มบังคับใช้

2. ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซ (ETS) : จะถูกนำมาใช้โดยมีเป้าหมายเริ่มต้นที่โรงงานประมาณ 400 แห่ง ที่มีการปล่อยก๊าซเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้. อุตสาหกรรมที่ใช้สิทธิเกินสามารถซื้อสิทธิจากอุตสาหกรรมที่เหลือ หรือซื้อคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจได้ (แต่จะมีการจำกัดสัดส่วน เพื่อป้องกัน “ข้อเขียว” หรือ Greenwashing) กรมจะเป็นผู้ดูแล Primary Market ส่วน Secondary Market จะเชื่อมต่อกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

3. Thailand CBAM (T-CBAM) : เพื่อแก้ไขปัญหาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศที่จะถูกลดทอนลงหากไม่มีมาตรการป้องกัน. เมื่อ พ.ร.บ. ควบคุมอุตสาหกรรมใดแล้ว จะมีการกำหนด Thailand Carbon Border Adjustment Mechanism (T-CBAM) ที่สอดคล้องกัน เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศเพื่อนบ้าน (เช่น ปูนซีเมนต์) เข้ามาทำลายตลาดไทย

4. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) : จะถูกใช้เพื่อ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ในส่วนที่ ETS ไม่สามารถเข้าถึงได้. ภาษีคาร์บอนนี้จะถูกเก็บเพิ่มจากภาษีเดิมในอัตราที่เหมาะสม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่าน

5. คาร์บอนเครดิต : ร่าง พ.ร.บ. มีการบรรจุเรื่องคาร์บอนเครดิตไว้ในหมวดที่ 11 ซึ่งรวมถึงคาร์บอนเครดิตภาคบังคับระหว่างประเทศ (ตามข้อตกลงกับสวิตเซอร์แลนด์, ญี่ปุ่น, และสิงคโปร์) และภาคสมัครใจที่รัฐบาลตั้งเป้าจะเชื่อมเข้ากับตลาด ETS เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Carbon Trading Hub ของอาเซียน

กองทุนภูมิอากาศแหล่งเงินสังคมคาร์บอนต่ำ

“ดร.พิรุณ” กล่าวทิ้งท้ายถึง หมวด 4 ของร่าง พ.ร.บ. ว่า ได้เสนอการตั้งกองทุนภูมิอากาศ เพื่อเป็นแหล่งเงินสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งในปัจจุบัน ภายใต้ พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ ไม่สามารถตั้งกองทุนลักษณะนี้ได้ง่ายๆ จึงต้องผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการกองทุนหมุนเวียน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลังเป็นผู้กำกับ

แหล่งที่มาของเงินในกองทุนหลักๆ คือ “การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซ” ให้กับภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอน ที่จะถูกนำไปหมุนเวียนต่อในรูปแบบ Blended Finance จับคู่กับธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารรัฐ เพื่อสร้างเงินลงทุนก้อนใหญ่ โดยเฉพาะโครงการ Low Carbon Investment

กองทุนนี้จะเกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีรายได้จริงๆ เข้ามาในปี 2574 จากกลไกการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซ แต่ก่อนหน้านั้น กระทรวงการคลัง ได้สนับสนุนงบ 200 ล้านบาทเพื่อ ตั้งระบบ และทดลองบริหารกองทุนไปก่อน

อีกเรื่องสำคัญคือ ระบบข้อมูล และการรายงาน (MRV) ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะให้อำนาจกรมฯ เรียกข้อมูลจากภาคเอกชน โดยเบื้องต้นจะครอบคลุมประมาณ 4,000 โรงงาน แต่ไม่ใช่ว่าทุกโรงงานจะถูกควบคุมเข้มข้น จะมีเพียง 10% หรือราว 400 โรงงานที่มีการปล่อยก๊าซเกินเกณฑ์เท่านั้น แต่ข้อมูลทั้งหมดเราต้องการเพื่อการกำหนดนโยบายที่แม่นยำ

ระบบนี้จะเป็น Digital Platform + Database กลาง เชื่อมโยงกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อสกรีน และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนส่งเข้ากรม

 

 


พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์