กับดัก "แร่แรร์เอิร์ธราคาถูก" ที่จ่ายด้วยชีวิต ก่อมลพิษข้ามแดนยืดเยื้อ

เหมืองแร่แรร์เอิร์ธผิดกฎหมายในเมียนมาเป็นต้นตอของมลพิษโลหะหนักข้ามพรมแดน ซึ่งปนเปื้อนแม่น้ำสายหลักทางภาคเหนือของไทย
KEY
POINTS
- เหมืองแร่แรร์เอิร์ธผิดกฎหมายในเมียนมาเป็นต้นตอของมลพิษโลหะหนักข้ามพรมแดน ซึ่งปนเปื้อนแม่น้ำสายหลักทางภาคเหนือของไทย
- ราคาแร่ที่ถูกเป็นผลมาจากการทำเหมืองที่ขาดความรับผิดชอบ โดยมีต้นทุนที่แท้จริงคือสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย
- มลพิษดังกล่าวคุกคามความมั่นคงทางน้ำและอาหารของไทย โดยส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำดื่มและพื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียง
- มีการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยอมรับปัญหาและใช้มาตรการทางการทูตอย่างจริงจังเพื่อกดดันให้ยุติการทำเหมืองที่แหล่งกำเนิดมลพิษ
รัฐบาลถูกตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบในการปกป้องประชาชนจากมลพิษข้ามพรมแดน ภัยคุกคามสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ โดยเฉพาะมลพิษทางน้ำจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธเถื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมา
เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) กล่าวว่าปัญหาดังกล่าว ส่งผลโดยตรงต่อแม่น้ำสายสำคัญของภาคเหนือของไทย หากยังเพิกเฉย ประเทศไทยอาจติดอยู่ใน “กับดักปัญหามลพิษที่ยืดเยื้อ” ถึงเวลาที่รัฐบาลก้าวเดินอย่างจริงจังเพื่อปกป้องชีวิตผู้คนและความมั่นคงทางน้ำของชาติ
“เพียรพร” เล่าย้อนให้ฟังว่า ได้ทำงานด้านอนุรักษ์แม่น้ำและสิทธิมนุษยชนมานานกว่า 25 ปี และได้เปลี่ยนชื่อจาก International Rivers (ซึ่งจดทะเบียนเป็นมูลนิธิไทยเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว) เป็นมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2568
“ได้ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอนุรักษ์แม่น้ำทั่วโลกมาอย่างยาวนาน โดยเน้นย้ำถึงการตั้งคำถามต่อการพัฒนาที่ไม่รับผิดชอบ ปัญหาหลักๆ ในในอดีต คือผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนปากมูล ซึ่งเป็นโครงการสุดท้ายในไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารโลก (World Bank)
โครงการเหล่านี้มักมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ละเลยต้นทุนด้านระบบนิเวศและสิทธิมนุษยชน ทำให้เกิดการประท้วงและการรวมตัวของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ เช่น การเรียกร้องให้เปิดประตูเขื่อนปากมูลช่วงปี 2001-2002 ปัญหาเหล่านี้ยังนำไปสู่การศึกษาครั้งสำคัญระดับโลกโดยคณะกรรมการเขื่อนโลก (World Commission on Dam)”
เหมืองเถื่อนทำแม่น้ำเป็นพิษ
อย่างไรก็ตาม “เพียรพร” ชี้ว่า ขณะนี้ภัยคุกคามได้เปลี่ยนจากปัญหาจากเขื่อนไปสู่ปัญหาที่ร้ายแรงกว่า นั่นก็คือ “คุณภาพน้ำ”
“ก่อนหน้านี้เรากังวลเรื่องการสร้างเขื่อน 13 แห่งในแม่น้ำโขงตอนบนโดยจีน หรือผลกระทบจากเขื่อนไชยะบุรี แต่ปัจจุบันกรณีแม่น้ำเป็นพิษจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธที่เกิดขึ้นชายแดนประเทศเมียนมา ทำให้เกิดความตระหนก เพราะพบว่าแม่น้ำ 4 สายตอนบนของไทย ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญของคนเชียงใหม่ เชียงราย และพื้นที่ใกล้เคียง กำลังเผชิญกับมลพิษ"
จากข้อมูลการตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำกกและลำน้ำสาขา แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ของกรมควบคุมมลพิษ พบว่ามีค่าการปนเปื้อนของโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะสารหนูและตะกั่ว ในตลอดเกือบทุกพื้นที่ของลำน้ำ 4 สาย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รายชื่อประเทศครอง 'แร่หายาก' มากที่สุด ขุมทรัพย์ หรือหายนะต่อสิ่งแวดล้อม
- ภาพ NASA ชี้ชัด ภูเขาพรุนทั้งลูก ทำเหมืองแรร์เอิร์ธด้วยวิธีชุ่ย มลพิษลามไทย
- รายงานกรมทรัพยากรธรณีระบุ ไทยมีศักยภาพสูงพบแหล่ง 'แร่แรร์เอิร์ธ' ทุติยภูมิ
- เหมืองแรร์เอิร์ธเพิ่มไม่หยุด อีก 19 แห่ง เขตกลุ่มติดอาวุธในพม่า ไทยรับสารพิษอ่วม
เหมืองแรร์เอิร์ธเพิ่มไม่หยุด อีก 19 แห่ง เขตกลุ่มติดอาวุธในพม่า ไทยรับสารพิษอ่วม
เปิดปม แร่แรร์เอิร์ธทุนต่ำชายแดนพม่า ป้อนจีน เหมืองไร้กฎทำมลพิษไหลสู่ไทย
กับดัก "แร่ราคาถูก" ที่ต้องจ่ายด้วยชีวิต
“เพียรพร” บอกว่า ปัญหาเหมืองแร่แรร์เอิร์ธมีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังการรัฐประหารในเมียนมาปี 2564 ทำให้เกิดการขยายตัวของการทำเหมืองที่ผิดกฎหมายอย่างน้อย 400 แห่งในรัฐคะฉิ่น และล่าสุดขยายมายังพื้นที่รัฐฉาน ในเขตอิทธิพลของกองกำลังต่างๆ เช่น กองกำลังสหรัฐว้า (UWSA)
ปัญหาเหมืองแร่แรร์เอิร์ธถูกวิจารณ์อย่างหนักถึง “ความรับผิดชอบที่ขาดหาย” เพราะการดำเนินการมักละเลยมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและอาศัยช่องว่างทางกฎหมาย ส่งผลให้สินแร่มีราคาถูกผิดปกติ แต่แท้จริงแล้วราคานี้ไม่ได้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หากกลับถูกจ่ายด้วย “ชีวิตผู้คน” ผ่านสุขภาพสาธารณะที่ย่ำแย่ และป่าเขาที่ถูกทำลาย แม้แรร์เอิร์ธจะถูกยกให้เป็น “Critical Mineral” ที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการทหาร แต่ “น้ำสะอาด” และ “สุขภาพประชาชนไทย” ก็คือ “Critical Water” ที่ไม่อาจถูกละเลยได้เช่นกัน
"เราไม่เห็นด้วยกับการผลิตที่ไม่รับผิดชอบ ควรมีห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบได้ ว่าแต่ละประเทศเอาแร่มาอย่างไรรวมถึงการรับผิดชอบต่อผู้ได้รับผลกระทบ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เพียงพอหรือไม่"
ฝ่ากับดักความล่าช้า รัฐบาลควรรับผิดชอบ
“เพียรพร” อธิบายว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการขาดความจริงจังในการแก้ปัญหาของรัฐบาลไทย ที่ทำให้การแก้ไขปัญหามลพิษครั้งใหญ่นี้ล่าช้า แม้จะมีรายงานทางการเกือบ 10 ครั้งว่าพบสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน แต่การตอบสนองของรัฐยังไม่เด็ดขาด
“ภาครัฐมีการชี้แจงว่า แม่น้ำปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานเล็กน้อย หรือบางครั้งเอาไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานคุณภาพน้ำของประเทศเพื่อนบ้านที่กำหนดไว้ต่ำกว่ามาตรฐานของไทย (ของไทยค่าสารหนูและโลหะหนักต้องไม่เกิน 0.01 มก./ล.) เช่น พม่าและจีนกำหนดไว้ 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ข้ออ้างเช่นนี้ไม่สมควร เพราะมาตรฐานคุณภาพน้ำของไทยสูงกว่าก็ดีอยู่แล้ว และควรถูกยึดไว้เป็นหลัก คุณภาพของเราดีกว่า ก็ต้องรักษามาตรฐานนั้นเอาไว้”
“เพียรพร” บอกอีกว่า มลพิษนี้ถือเป็นภัยความมั่นคงของมนุษย์ และความมั่นคงด้านสุขภาพ โดยพื้นที่ชลประทานและเกษตรกรรมรวมกว่า 130,000 ไร่ ในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย กำลังเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร แม้แต่ระบบน้ำประปาส่วนภูมิภาคในเชียงราย แม่สาย และเชียงแสน ที่มีผู้ใช้กว่า 40,000 ราย ก็ใช้แหล่งน้ำที่พบการปนเปื้อน
ข้อเสนอเพื่อ “ออกจากกับดัก”
“เพียรพร” เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อออกจากกับดักความเสี่ยงนี้ ดังนี้
- ยอมรับปัญหา (Acknowledge the Problem): รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องยอมรับว่านี่คือปัญหาจริงที่กำลังทวีความรุนแรงและเป็นภัยต่อสุขภาพสาธารณะในระดับที่สำคัญที่สุด
- ยุติที่แหล่งกำเนิดมลพิษ (End Point Source Pollution): ต้องใช้ทุกช่องทาง เช่น การค้า, การทูต, ความมั่นคง เพื่อเจรจาหรือกดดันให้มีการยุติการทำเหมืองเถื่อนทันที ที่ต้นกำเนิดของมลพิษ ปัญหานี้เป็น "Point Source Pollution" ที่สามารถระบุแหล่งที่มาได้ชัดเจน (ผ่านภาพถ่ายดาวเทียม) จึงต้องแก้ไขที่ต้นตอ ไม่ใช่แค่การ "เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว" ให้ปัญหาที่เกิดจากเพื่อนบ้าน
- มาตรการเชิงรุกในการปกป้องประชาชน: เช่น จัดหาแหล่งร้ำประปาใหม่ทดแทนแม่น้ำที่ปนเปื้อน ตรวจสอบพื้นที่ชลประทานอย่างเร่งด่วน และมีมาตรการเยียวยาเกษตรกรและประชาชนที่สูญเสียรายได้ อาชีพ และแหล่งอาหาร







