รายชื่อประเทศครอง 'แร่หายาก' มากที่สุด ขุมทรัพย์ หรือหายนะต่อสิ่งแวดล้อม

รายชื่อประเทศครองแร่หายากมากที่สุด ขุมทรัพย์ล้ำค่า หรือหายนะต่อธรรมชาติ รายชื่อประเทศครองแร่หายากมากที่สุด ขุมทรัพย์ล้ำค่า หรือหายนะต่อธรรมชาติ
KEY
POINTS
- Rare Earths กลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิดที่มีคุณสมบัติเฉพาะ มีบทบาทสำคัญต่อ เทคโนโลยีขั้นสูง
- ข้อมูล 2024 จาก USGS ระบุจีนถือครองสำรองแร่หายากมากที่สุด 44 ล้านตัน REO จากทั่วโลกที่มีราว 90 ล้านตัน
- รัฐบาลจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กพิเศษ ต้องมีใบอนุญาตพิเศษ ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
- เปิด 10 อันดับประเทศที่มีแหล่งสำรองแร่หายากสูงสุด (ตามข้อมูลที่ USGS เก็บ)
- การทำเหมืองแร่หายากที่ใช้เทคนิค "ชะละลายแร่" ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- พื้นที่ชายแดนในรัฐฉานและคะฉิ่น กลายเป็นแหล่งผลิตสำคัญของแร่หายาก ทำสารเคมีไหลลงแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย
แร่หายาก หรือแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements - REEs) กลายเป็นทรัพยากรที่หลายประเทศกำลังจับตามองมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากจีน ซึ่งเป็นผู้ถือครองแหล่งแร่หายากรายใหญ่ของโลก ประกาศควบคุมการส่งออกแร่กลุ่มนี้และแม่เหล็กพิเศษบางชนิด ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงระบบนำวิถีขีปนาวุธ
แร่แรร์เอิร์ธเป็นกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิดที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น แม่เหล็ก การเรืองแสง และคุณสมบัติทางไฟฟ้าเคมี แม้จะพบได้ในเปลือกโลก เพียงแต่แหล่งที่มีความเข้มข้นสูงเพียงพอให้สามารถทำเหมืองอย่างคุ้มค่านั้นมีน้อย และกระบวนการแปรรูปยังซับซ้อนและส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของแร่หายากมีหลักๆ ดังนี้
- ใช้ใน แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
- ส่วนประกอบหลักของ สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และจอแสดงผล
- จำเป็นต่อระบบ ดาวเทียม ระบบเรดาร์ และอาวุธนำวิถี
- สร้างแม่เหล็กถาวรสำหรับ กังหันลมและเครื่องปั่นไฟ
จีนครองแชมป์แหล่งสำรอง
ข้อมูลจาก USGS (United States Geological Survey) ระบุว่า ในปี 2024 จีนมีสำรองแร่หายากรวมกว่า 44 ล้านตัน REO (Rare Earth Oxides) คิดเป็นเกือบ ครึ่งหนึ่งของแหล่งสำรองทั่วโลก ซึ่งรวมกันราว 90 ล้านตัน ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีสำรองเพียง 1.9 ล้านตัน ทำให้ยังคงพึ่งพาการนำเข้าแร่จากจีนเป็นหลัก
มาตรการล่าสุดจากรัฐบาลจีน ซึ่งกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขอใบอนุญาตพิเศษจากกระทรวงพาณิชย์ อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอาวุธที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้อย่างมาก
อันดับประเทศตามปริมาณสำรองแร่หายาก
ประเทศที่มีแหล่งแร่หายากสำรองมากที่สุดในโลก (ข้อมูลปี 2024) ในหน่วย ตันของ Rare Earth Oxides หรือ REO
🇨🇳 จีน มีสำรอง 44,000,000 ตัน REO
🇧🇷 บราซิล มีสำรอง 21,000,000 ตัน REO
🇮🇳 อินเดีย มีสำรอง 6,900,000 ตัน REO
🇦🇺 ออสเตรเลีย มีสำรอง 5,700,000 ตัน REO
🇷🇺 รัสเซีย มีสำรอง 3,800,000 ตัน REO
🇻🇳 เวียดนาม มีสำรอง 3,500,000 ตัน REO
🇺🇸 สหรัฐอเมริกา มีสำรอง 1,900,000 ตัน REO
🇬🇱 กรีนแลนด์ มีสำรอง 1,500,000 ตัน REO
🇹🇿 แทนซาเนีย มีสำรอง 890,000 ตัน REO
🇿🇦 แอฟริกาใต้ มีสำรอง 860,000 ตัน REO
🇨🇦 แคนาดา มีสำรอง 830,000 ตัน REO
🇹🇭 ไทย มีสำรอง 4,500 ตัน REO
🇲🇲 เมียนมา ไม่มีข้อมูลบันทึก
ข้อมูลนี้รวมแร่กลุ่มแลนทาไนด์ (Lanthanides) และอิทเทรียม (Yttrium) แต่ไม่รวมสแกนเดียม (Scandium)
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมียนมามีผลผลิตแร่แรร์เอิร์ธในปี 2023 จำนวน 43,000 ตันเทียบเท่า REO และผลผลิตปี 2024 จำนวน 31,000 ตันเทียบเท่า REO แต่กลับไม่ได้ถูกระบุในรายชื่อประเทศที่ ‘ครอบครอง’ ทรัพยากรแร่แรร์เอิร์ธมากที่สุด ทั้งที่มีการทำเหมืองอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่น สะท้อนได้ว่า เมียนมาอาจ “ผลิตแร่” แต่แร่เหล่านั้นจะถูกส่งออกไปแปรรูปที่อื่น โดยเฉพาะในประเทศจีน
แนวโน้มอนาคต USGS ระบุไทยมีส่วนผลิตแร่หายากเพิ่ม
แม้ว่าการผลิตแร่หายากทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 376,000 ตันในปี 2023 เป็น 390,000 ตันในปี 2024 โดยเพิ่มจากจีน, ไนจีเรีย และไทย แต่โลกยังคงเผชิญปัญหาความไม่สมดุลในห่วงโซ่อุปทาน และเสี่ยงต่อข้อจำกัดทางการค้าในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายจึงเรียกร้องให้มีการกระจายแหล่งผลิต เพิ่มการรีไซเคิลวัสดุหายาก และพัฒนาวิธีสกัดแร่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากเหมืองแร่หายาก
แม้แร่หายากจะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจสีเขียวและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แต่กระบวนการสกัดและผลิตกลับมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง หากขาดการควบคุมที่เหมาะสม เช่น
- การใช้สารเคมีอันตราย เช่น กรดกำมะถัน ในการแยกแร่
- การปนเปื้อนของ แหล่งน้ำใต้ดินและผิวดิน
- การทำลายระบบนิเวศ เนื่องจากต้องขุดลึกและล้างดินออก
- การปล่อยกากกัมมันตรังสีจากแร่ที่มีธาตุอย่างธอเรียม (Thorium)
โดยเฉพาะในจีนซึ่งเป็นแหล่งผลิตหลัก การทำเหมืองที่ไม่ยั่งยืนในอดีตเคยสร้างปัญหาใหญ่ให้กับสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมในหลายพื้นที่ จึงเกิดกระแสรณรงค์ให้มีการใช้แร่หายากอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยรัฐบาลปักกิ่งได้ออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก และรัฐบาลจีนยังประกาศด้วยว่า แร่แรร์เอิร์ธเป็นสมบัติของรัฐ และเอกชนไม่มีสิทธิครอบครอง
ส่งผลเกิดกระแสลงทุนในเหมืองแร่แรร์เอิร์ธนอกประเทศ โดยเฉพาะในเมียนมา ในเขต ‘ชายแดน’ ของทั้งรัฐฉาน และรัฐคะฉิ่น ที่กำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธอย่างเทอร์เบียม และดิสโพรเซียม ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และไร้การควบคุม
โดยเทคนิคที่ใช้คือ “ชะละลายแร่” ที่ส่งผลกระทบสารเคมีไหลลงสู่แหล่งน้ำหลักอย่างแม่น้ำกก และแม่น้ำสายที่ลัดเลาะเข้าสู่ภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะสารหนู ปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐานตลอดเส้นทาง และชี้ว่านี่คือวิกฤติมลพิษที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา







