ระวัง MOU แรร์เอิร์ธ ไทย–สหรัฐ ทำไทยเป็นทางผ่านแร่เถื่อนเมียนมา รับภาระมลพิษ

การลงนาม MOU แร่แรร์เอิร์ธระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของแร่ที่ลักลอบขุดจากเหมืองผิดกฎหมายในเมียนมา
KEY
POINTS
- การลงนาม MOU แร่แรร์เอิร์ธระหว่างไทยกับสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของแร่ที่ลักลอบขุดจากเหมืองผิดกฎหมายในเมียนมา
- ไทยอาจต้องรับภาระปัญหามลพิษโลหะหนักข้ามพรมแดนที่เกิดจากการทำเหมืองในเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำและสุขภาพของประชาชนในภาคเหนือ
- ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้รัฐบาลไทยศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างรอบคอบ พร้อมวางกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนเพื่อป้องกันความเสียหาย
ประเทศไทยกลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรรมชาติ หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REEs) ฉบับแรกของทั้งสองประเทศ ภายใต้กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทย–สหรัฐอเมริกา (Framework for a U.S.-Thailand Agreement on Reciprocal Trade)
MOU ฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นกลุ่มธาตุโลหะ 17 ชนิด มีคุณสมบัติพิเศษที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ จอแสดงผล ระบบดาวเทียม อาวุธ และแม่เหล็กถาวรสำหรับกังหันลมหรือเครื่องปั่นไฟ
เพื่อประเมินผลกระทบและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศไทย “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์ “เพียรพร ดีเทศน์” กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รายชื่อประเทศครอง 'แร่หายาก' มากที่สุด ขุมทรัพย์ หรือหายนะต่อสิ่งแวดล้อม
- รายงานกรมทรัพยากรธรณีระบุ ไทยมีศักยภาพสูงพบแหล่ง 'แร่แรร์เอิร์ธ' ทุติยภูมิ
- ภาพ NASA ชี้ชัด ภูเขาพรุนทั้งลูก ทำเหมืองแรร์เอิร์ธด้วยวิธีชุ่ย มลพิษลามไทย
- เหมืองแรร์เอิร์ธเพิ่มไม่หยุด อีก 19 แห่ง เขตกลุ่มติดอาวุธในพม่า ไทยรับสารพิษอ่วม
- เปิดปม แร่แรร์เอิร์ธทุนต่ำชายแดนพม่า ป้อนจีน เหมืองไร้กฎทำมลพิษไหลสู่ไทย
ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
“เพียรพร” กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจคือ ปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้นำเข้าแร่จากพม่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทางด่านศุลกากรทางภาคเหนือ จ.เชียงราย จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.ตาก จากประมาณ 2,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2567 เพิ่มเป็น 9,800 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2568 โดยเฉพาะแร่พลวง (Antimony) ที่ถึงแม้ไม่ใช่ REEs โดยตรง แต่ก็ถูกจัดเป็นหนึ่งในแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) ที่ประเทศมหาอำนาจต้องการ
การที่ไทยเป็นทางผ่านหรือแหล่งผลิตแร่ Critical Minerals ทำให้มีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ ประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา จะสนใจไทยเพราะแร่เหล่านี้มีบทบาทต่อเทคโนโลยีขั้นสูงและความมั่นคงของชาติ เช่น แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า อากาศยาน ฯลฯ เช่นเดียวกับแร่แรร์เอิร์ธ ขณะเดียวกันสหรัฐก็มีนโยบายลดการพึ่งพาแร่ Critical Minerals จากประเทศจีนด้วย ซึ่งจีนถือครองแร่เหล่านี้มากที่สุดในโลก
“แต่รัฐบาลกลับไปลงนามบันทึกความเข้าใจกับสหรัฐ แม้นายกรัฐมนตรีบอกว่าสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ แต่ก็ชัดเจนว่าสหรัฐให้ความสำคัญกับแร่เหล่านี้ และประเด็นดังกล่าวมีนัยสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ จึงต้องระวังไม่ให้ MOU ฉบับนี้ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นทางผ่านของแร่จากเหมืองเถื่อนในพม่า ซึ่งมาจากพื้นที่ของกองกำลังท้องถิ่นและชาติพันธุ์ ที่นำมาซึ่งความสูญเสียทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงในเวลาเดียวกัน”
ความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม
เมื่อถามถึงทิศทางความยั่งยืนของ MOU “เพียรพร” ตอบว่า แม้การเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทานแร่ระดับโลกอาจสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ประเทศไทยต้องระมัดระวังผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของทรัพยากร หากแร่เหล่านี้มาจากเหมืองผิดกฎหมายหรือไม่มีการจัดการอย่างยั่งยืน
“ในฐานะคนลุ่มน้ำโขง เห็นปัญหาผลกระทบข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองแร่นอกกฎหมายในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงตอนบนมีความขุ่นข้น การตรวจสอบของกรมควบคุมมลพิษ 12 ครั้งตลอด 6 เดือน พบสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน”
“เพียรพร” อธิบายต่อว่า ประชาชนและนักวิชาการต่างกังวลเรื่องผลระทบต่อสุขภาพของประชาชน ผ่านมาหลายเดือนแล้วแต่รัฐบาลไทยก็ยังคงทำเหมือนไม่จะพยายามแก้ปัญหานี้ที่ต้นเหตุ
“สำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศ เราก็ต้องการให้แก้ไขปัญหานี้โดยเร่งด่วน โดยเริ่มจากการเจรจากับรัฐบาลพม่า กลุ่มชาติพันธุ์ว้า หรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เหมือง เพื่อให้ยุติการดำเนินการโดยเร็วที่สุด เรายังหวังว่าฝ่ายความมั่นคงจะเข้ามาช่วย เพราะขณะนี้สถานการณ์ได้ลุกลามจนสารโลหะหนักปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารแล้ว”
เหมืองแรร์เอิร์ธต้องอย่างรับผิดชอบ
“เพียรพร” กล่าวถึงกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในลุ่มน้ำโขงตอนบน ทั้งในเมียนมา และ สปป.ลาว โดยเหมืองที่ต้นน้ำดำเนินการแบบ ‘ใช้แล้วทิ้ง’ คือการขุดภูเขา ใช้กรดแรงใส่ลงไป และมีบ่อพัก ซึ่งทิ้งสารพิษรุนแรงลงสู่ต้นน้ำลำธาร
“ทุนจีนไปทำเหมืองลักษณะนี้ในเมียนมาตอนเหนือที่รัฐคะฉิ่น พบว่าทำเพียง 3 ปีก็ย้ายไปทำเหมืองที่อื่นโดยไม่จัดการสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เกิดขึ้นในลุ่มน้ำโขงตอนบนถือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ (organized transnational crime) ที่รัฐบาลจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเสียหายรุนแรงมากไปกว่านี้”
มาตรการป้องกันผลกระทบ
“เพียรพร” เสนอว่า รัฐบาลไทยควรใช้บทเรียนจากหลายประเทศทั่วโลกในการพิจารณาผลกระทบและต้นทุนของห่วงโซ่อุปทานแร่ critical minerals รัฐบาลจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจ ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ที่อาจเกิดขึ้น พร้อมทั้งวางกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน
“จะเห็นว่าแม้จีนถือครองแร่แรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลก แต่ก็มีกฎหมายและข้อกำหนดเข้มงวดในการทำเหมือง เนื่องจากพบว่ามลพิษจากการสกัดและแปรรูปแร่เหล่านี้ได้สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศในระดับมหาศาล บริษัทจีนจำนวนมากจึงนำวิธีการทำเหมืองและเทคโนโลยีเหล่านี้ไปดำเนินการในเมียนมา ซึ่งบางครั้งไม่มีมาตรการควบคุมสิ่งแวดล้อมอย่างเพียงพอ”
“เพียรพร” กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลไทยและสหรัฐต้องยึดแนวทางของสหประชาชาติในเอกสาร “UN Guidance for Action on Critical Energy Transition Minerals” ซึ่งเน้นการเคารพสิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมของชุมชน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก







