พรบ.อากาศสะอาด กรณีศึกษา ‘สิงคโปร์-อินโดฯ’ | กันต์ เอี่ยมอินทรา

กรณีศึกษา "พรบ.อากาศสะอาด" สิงคโปร์ ประสบความสำเร็จในการจัดการมลพิษที่มาจากอินโดนีเซียด้วยอำนาจการต่อรองจากการค้าขายลงทุน
ในที่สุดวันนี้ พรบ.อากาศสะอาด ก็ผ่านสภาผู้แทนฯ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็น่าจะผ่านวุฒิสภาและประกาศออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ทั่วราชอาณาจักรในเร็วๆ นี้
หลายปีที่คนไทยจำต้องสูดอากาศพิษ โดยเฉพาะคนทางเหนือในช่วงหน้าหนาว และฤดูเตรียมการเพาะปลูกในช่วงต้นปี หลายปีที่ภาคประชาชนพยามผลักดันให้กฎหมายนี้เกิดขึ้น และในที่สุดก็น่าจะได้เห็นกฎหมายนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในต้นปีหน้า ก่อนที่รัฐบาลเฉพาะกิจนี้จะหมดอายุขัยลง
ด้วยความเชื่อที่ว่ากฏหมายนี้จะเป็นเครื่องมือหลักในการควบคุมมลพิษ โดยเฉพาะฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่บั่นทอนสุขภาพคนไทยมานาน ด้วยสมมุติฐานที่ว่าต้นตอใหญ่ๆ ของฝุ่นพิษเหล่านี้เกิดมาจากภาคการเกษตร การเตรียมดินปลูกพืชไร่จำพวกอ้อย เพื่อนำมาทำน้ำตาล ข้าวโพด เพื่อนำมาทำอาหารสัตว์ และจากโรงงานอุตสาหกรรม
ดังนั้นกฎหมายจึงมุ่งหลักการ Polluter Pays Principle คือคนที่ก่อมลพิษต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม มีทั้งบทลงโทษและรางวัลเพื่อให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งถือเป็นหลักแบบเดียวกับชาติที่เจริญแล้วใช้อยู่ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผลิตผลทางการเกษตรของชาติเหล่านั้นถึงมีราคาสูง
โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกฎหมายนี้ เช่นเดียวกับเกษตรกรที่ยังคงเลือกวิธีการเก็บเกี่ยวและเตรียมดินแบบดั้งเดิม นั่นคือการเผาไร่ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือ Commodity เหล่านี้ที่แข่งขันกันด้วยราคา จะมีราคาสูงขึ้น แต่ก็จะมีความเป็นธรรมมากขึ้น ต้นทุนที่แท้จริงที่เคยถูกซ่อนเร้นโดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน จะถูกนำมาคิดราคา
ยกตัวอย่างเช่น “อ้อย” ที่ไทยเราปลูกเยอะมากและทำการแปรรูปเป็นน้ำตาล เป็นผู้ส่งออกใหญ่อันดับ 3 ของโลก หรือข้าวโพดหวานที่ไทยก็ปลูกมากและส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก น่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่นี่คือราคาที่ผู้ส่งออกจำต้องเริ่มคิดเริ่มคำนวณเข้าในราคาขาย หลังจากที่ต้นทุนเหล่านี้คนไทยทุกคนต้องแบกรับจากอากาศพิษมาอย่างยาวนาน
หากมองในภาพกว้างขึ้นมานิด แหล่งมลพิษที่ไทยได้รับนั้นไม่ได้มาจากเฉพาะในไทยเท่านั้น แต่ยังมาจากประเทศเพื่อนบ้านรายรอบเราอย่างเมียนมา ลาวและกัมพูชา ดังนั้นหากจะแก้ไขที่อีกหนึ่งต้นตอของปัญหาอย่างแท้จริง เราจึงควรรณรงค์ให้เกิดข้อกำหนดบังคับควบคุมห่วงโซ่อุปทานของสินค้าเกษตรผ่านแดนเหล่านี้ ให้ตรงตามเงื่อนไขที่จะไม่เป็นภัยต่อสุขภาพของคนไทย
แบบเดียวกับที่สิงคโปร์ทำจนประสบความสำเร็จในการจัดการมลพิษที่มาจากอินโดนีเซีย แม้สิงคโปร์จะไม่มีอำนาจการบังคับกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย แต่สิ่งที่สิงคโปร์มีคืออำนาจการต่อรองจากการค้าขายลงทุน แบบเดียวกับที่ไทยมีกับเมียนมา ลาว และกัมพูชา
และการปิดด่านไทย-กัมพูชา คือหนึ่งในตัวอย่างของเครื่องมือการบริหารอำนาจที่ไทยมีเหนือประเทศเพื่อนบ้าน ไทยมีแต้มต่อเหล่านี้ และก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่หากภาคประชาชนเข้มแข็งแล้ว นักการเมืองและระบบราชการก็จำต้องทำตามเสียงเรียกร้องเหล่านี้







