เปิดโมเดล ‘การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน’ ของ ‘สโลวีเนีย’ สร้างสมดุลท่องเที่ยว-อนุรักษ์

เปิดโมเดล ‘การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน’ ของ ‘สโลวีเนีย’ สร้างสมดุลท่องเที่ยว-อนุรักษ์

การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ของ สโลวีเนีย โมเดลสร้างสมดุลการท่องเที่ยว-อนุรักษ์ เตรียมเปลี่ยนผ่านสู่การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูธรรมชาติ

KEY

POINTS

  • สโลวีเนียใช้ "โครงการ Green Scheme" เป็นเครื่องมือรับรองระดับชาติเพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใต้แบรนด์ Slovenia Green
  • ส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การปิดถนนให้รถยนต์เข้าในเมืองหลวง และมีนโยบายลดขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste) พร้อมกฎคัดแยกขยะที่เข้มงวด
  • บูรณาการการอนุรักษ์ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับกลยุทธ์การท่องเที่ยว โดยมีพื้นที่ป่าไม้เกือบ 60% และพื้นที่คุ้มครองจำนวนมาก
  • จัดการปัญหา Overtourism ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีและกระจายนักท่องเที่ยวไปยังภูมิภาคที่ไม่เป็นที่รู้จัก เพื่อลดความแออัดในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม

หลายประเทศในยุโรปตะวันตกนำแนวทางปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวและการเดินทางที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการปั่นจักรยานและยานยนต์ไฟฟ้า การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบในพื้นที่ภูเขา และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการท่องเที่ยวในแหล่งมรดกโลก

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “สโลวีเนีย” ประเทศเล็ก ๆ ในยุโรปกลาง โดดเด่นขึ้นมาในฐานะประเทศแห่งการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีส่วนสนับสนุนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสโลวีเนียประมาณ 8.6% ตามรายงานของ I Feel Slovenia ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การตระหนักรู้ทางนิเวศวิทยา และการจัดการขยะ

“มีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่สามารถเทียบเคียงความสำเร็จของสโลวีเนียได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโลวีเนียเริ่มต้นจากการเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในยุโรป แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการริเริ่มด้านความยั่งยืนที่สามารถเปลี่ยนแปลงเสน่ห์ของการเดินทางได้ นักเดินทางในปี 2025 ต้องการสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าความสวยงาม ดังนั้นความสำเร็จของสโลวีเนียจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” จอร์เจีย โฟว์กส์ ที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยวของ Altezza Travel กล่าว

สร้างแบรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

สโลวีเนียเป็นประเทศที่มีป่าไม้มากเป็นอันดับสามของสหภาพยุโรป โดยมีพื้นที่ป่าไม้เกือบ 60%ทำให้สโลวีเนียยังมีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างมาก เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่รู้จักมากถึง 1% ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก ด้วยเหตุนี้ ประเทศจึงมุ่งเน้นในการบูรณาการการอนุรักษ์ระบบนิเวศเข้ากับกลยุทธ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

สโลวีเนียเปิดตัว “โครงการ Green Scheme of Slovenian Tourism” เพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์และโครงการรับรองระดับชาติภายใต้แบรนด์ Slovenia Green โครงการริเริ่มนี้ช่วยพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ โดยนำเสนอเครื่องมือสำหรับผู้ให้บริการเพื่อทำการตลาดและประเมินแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ สโลวีเนียยังเป็นส่วนหนึ่งของ “เครือข่ายหมู่บ้านบนภูเขา” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศแถบเทือกเขาแอลป์หลายประเทศ ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย และอิตาลี เครือข่ายนี้ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่ภูเขาผ่านโครงการริเริ่มที่เน้นธรรมชาติ สร้างผลกระทบต่ำ และมุ่งเน้นสร้างประโยชน์แก่ชุมชน

หมู่บ้านต่าง ๆ เช่น ลูเช เยเซอร์สโก โดฟเย-มอยสตรานา และบาสกา กราปา เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายนี้ โดยใช้เครือข่ายนี้เพื่อเฉลิมฉลองและปกป้องวัฒนธรรมท้องถิ่น มรดกทางประวัติศาสตร์ และประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ ควบคู่ไปกับการนำเสนอประสบการณ์การปีนเขาและการเดินป่าคุณภาพสูง โดยโครงการริเริ่มนี้ยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ภูมิภาคห่างไกล พร้อมทั้งวางรูปแบบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นตัวอย่างให้แก่ประเทศอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้ได้

สโลวีเนียยังลงทุนในการขนส่งมวลชนและโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว มีการปิดถนนสายหลักในเขตกรุงลูบลิยานา เมืองหลวงของสโลวีเนียไม่ให้รถยนต์เข้า และยกระดับระบบขนส่งสาธารณะและเครือข่ายจักรยาน โดยเฉพาะในพื้นที่ใจกลางเมืองของกรุงลูบลิยานาที่ให้ความสำคัญกับคนเดินเท้าและนักปั่นจักรยานเป็นพิเศษ ถนนคนเดินช่วยลดมลภาวะทางเสียงและอากาศ และช่วยให้เมืองนี้ได้รับรางวัลเมืองหลวงสีเขียวแห่งยุโรปในปี 2016

อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของสโลวีเนีย คือโครงการลดขยะเป็นศูนย์ ซึ่งมาพร้อมกับกฎการคัดแยกขยะที่เข้มงวด รวมถึงการห้ามใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง โครงการนี้ช่วยให้ประเทศสามารถป้องกันขยะเทศบาลที่ปะปนกันในปริมาณมาก และยังเป็นการกำหนดความคาดหวังต่อนักท่องเที่ยวอีกด้วย

ขณะที่ การปกป้องและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น แหล่งน้ำ ป่าไม้ ถิ่นที่อยู่อาศัย และความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นอีกหนึ่งเสาหลักสำคัญของกลยุทธ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของสโลวีเนีย

ระบบสารสนเทศความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับยุโรปประมาณการว่าพื้นที่ประมาณ 40.5% และ 5% ของทะเลสโลวีเนียเป็นพื้นที่คุ้มครอง สโลวีเนียยังเข้าร่วมโครงการ Natura 2000 ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเครือข่ายพื้นที่คุ้มครอง ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้โดยง่าย

สโลวีเนียมีภาษีสีเขียวที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในกลุ่มประเทศ OECD ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพอากาศและคุณภาพน้ำที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบอื่น ๆ ได้แก่ การส่งเสริมการพัฒนาฟาร์มเชิงนิเวศสำหรับนักท่องเที่ยวภายในพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งช่วยให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์มากขึ้น

“เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นผู้มีอำนาจตัดสินใจให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงกลยุทธ์ของสโลวีเนีย มุ่งเน้นการส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและมีความหมาย ทำให้สโลวีเนียเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสีเขียวชั้นนำ” ศ.อันนา อิริเมียส จากมหาวิทยาลัยคอร์วินัสแห่งบูดาเปสต์ กล่าว

ขณะเดียวกัน สโลวีเนียยังจัดการกับความเสี่ยงจากภาวะนักท่องเที่ยวล้นเกิน ด้วยการส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีและกระจายนักท่องเที่ยวไปยังภูมิภาคที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แทนที่จะให้ทุกคนรวมกลุ่มกันอยู่ในจุดท่องเที่ยวยอดนิยมเพียงไม่กี่แห่ง คณะกรรมการการท่องเที่ยวได้จัดทำแผนการเดินทางและแคมเปญต่าง ๆ เพื่อนำเสนอภูมิภาคที่หลากหลายของประเทศในทุกฤดูกาล ตั้งแต่การผจญภัยบนเทือกเขาแอลป์ในหุบเขาโซชา ไปจนถึงประสบการณ์ทางวัฒนธรรมในเมืองเล็ก ๆ

กลยุทธ์นี้ช่วยลดความแออัดยัดเยียดในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ปิรันและเบลด ขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์ที่แท้จริงให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น

ความสำเร็จของสโลวีเนียในด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมาจากความมุ่งมั่นในระยะยาว การออกแบบแบบองค์รวม และการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มด้านการท่องเที่ยว

แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของสโลวีเนีย เช่น โครงการรับรอง การสร้างแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติเป็นอันดับแรก ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน อาจสามารถนำไปปรับใช้ในประเทศอื่น ๆ ในยุโรปได้ แต่มาตรการเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการปรับให้เข้ากับท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง และได้รับการสนับสนุนด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน การบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นเฉพาะด้าน

“หลักการสำคัญ ๆ เช่น โครงการรับรองระดับชาติ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และเรื่องราวแบรนด์ที่ชัดเจนและยั่งยืน ล้วนสามารถถ่ายทอดได้ ตัวอย่างเช่น โครงการ Green Scheme ของสโลวีเนียปฏิบัติตามเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก (GSTC, ETIS) และประเทศอื่น ๆ สามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างมาตรฐานเป้าหมายด้านความยั่งยืนให้กับเมืองและภูมิภาคต่างๆ ได้” ดูลานี พอร์เตอร์ รองประธานบริหารและหุ้นส่วนของ SPARK กล่าวเน้นย้ำ

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่ากลยุทธ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของสโลวีเนียจะสามารถนำไปปรับใช้ในประเทศอื่น ๆ ได้หรือไม่ คือ การสนับสนุนจากรัฐบาลและท้องถิ่นที่มีต่อแนวคิดที่ว่าการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความสามารถในการแข่งขันในอนาคต

“พวกเขาสามารถสร้างกรอบการทำงานของตนเองเพื่อรับรองและสนับสนุนจุดหมายปลายทางที่ยั่งยืน ส่งเสริมการเดินทางตลอดทั้งปีเพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดตามฤดูกาล และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเดินทางที่ส่งผลกระทบต่ำ เช่น เลนจักรยานและระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่ท่องเที่ยว” พอร์เตอร์กล่าว

 

จากการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสู่การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู

สโลวีเนียกำลังจะก้าวไปสู่การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู ซึ่งจะไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการลดอันตรายให้น้อยที่สุด แต่ยังรวมถึงการพัฒนาจุดหมายปลายทางอย่างจริงจัง โดยรัฐบาลเร่งกระบวนการนี้ให้เกิดเร็วขึ้น ด้วยการส่งเสริมโครงการริเริ่มต่าง ๆ  ที่จะส่งผลดีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม 

พร้อมกำหนดเป้าหมายให้การท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูระบบนิเวศ ฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างจริงจัง โดยหน่วยงานต่าง ๆ อาจขยายการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ เช่น การปลูกป่าในพื้นที่เสื่อมโทรม การทำความสะอาดแม่น้ำ และการฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มีส่วนร่วมในความพยายามเหล่านี้ในฐานะส่วนหนึ่งของประสบการณ์การเดินทาง หรือ การท่องเที่ยวเชิงอาสาสมัครเพื่อสร้างสิ่งที่ดี

รัฐบาลสโลวีเนียกำลังพยายามจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ไม่ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวในภาคการท่องเที่ยว โดยเริ่มโครงการนำร่องแล้วในอุทยานแห่งชาติทริกราฟเป็น ขณะเดียวกันการให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในโครงการริเริ่มด้านการท่องเที่ยวมากขึ้นอาจช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูได้เช่นกัน

“สโลวีเนียสามารถเป็นผู้นำในด้านการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูได้อย่างแท้จริง ขณะนี้กำลังสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และความก้าวหน้าอย่างสวยงาม แต่ในอนาคต ยังสามารถดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อนำรายได้จากการท่องเที่ยวไปสู่การฟื้นฟูธรรมชาติ การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และการสร้างความยืดหยุ่นทางการเกษตรของเกษตรกรรายย่อยโดยตรง” โฟว์กส์กล่าว

ในตอนนี้ ผู้ผลิตไวน์ของสโลวีเนียกำลังทดลองปลูกองุ่นพันธุ์ต่าง ๆ ที่สามารถต้านทานสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น เช่นเดียวกัน ผู้เลี้ยงผึ้งกำลังมุ่งเน้นไปที่การเพาะพันธุ์ผึ้งท้องถิ่นที่มีความยืดหยุ่น เพื่อรับมือกับการลดลงของผึ้งสายพันธุ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น

ด้วยการพัฒนาการศึกษาแก่นักท่องเที่ยว การสนับสนุนจากรัฐบาลที่มากขึ้น และความช่วยเหลือทางการเงิน การท่องเที่ยวจะสามารถสมดุลกับการฟื้นฟูระบบนิเวศได้สำเร็จ

สโลวีเนียยังสามารถมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรม เช่น การฟื้นฟูระบบน้ำโบราณและเส้นทางเดินของคนเลี้ยงแกะโบราณ และการเสริมสร้างความร่วมมือกับเกษตรกรอินทรีย์และผู้รักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น

 

ความท้าทายที่รออยู่

แม้ว่าสโลวีเนียจะก้าวหน้ามาไกลในการสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน แต่ยังคงมีความท้าทายอยู่บ้าง อุปสรรคสำคัญประการคือการพยายามจำกัด “ภาวะนักท่องเที่ยวล้นเมือง” (Overtourism) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม

เช่นเดียวกับการทำลายกำแพงกั้นระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับเอกชน (เช่น การขนส่ง สิ่งแวดล้อม มรดกทางวัฒนธรรม ฯลฯ) เพื่อให้เกิดการประสานงานระหว่างภาคส่วนและภูมิภาคต่าง ๆ อย่างไรรอยต่อ ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ต้องอาศัยการเกษตร โครงสร้างพื้นฐาน การจัดการสิ่งแวดล้อม และอื่น ๆ

ขณะเดียวกัน ภูมิภาคต่าง ๆ ของสโลวีเนียไม่ได้อยู่ในระดับความยั่งยืนเท่ากันทั้งหมด โดยพื้นที่ชนบทและพื้นที่ภูเขาสูงบางแห่งที่มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า เช่น พื้นที่ชนบทในหุบเขาโลการ์ ซึ่งขาดแคลนทรัพยากรการท่องเที่ยว

ดังนั้น เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งหมดสามารถก้าวหน้าได้ จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่มากนักและสถานที่ยอดนิยม ซึ่งสามารถทำได้โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น ทางเลือกการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเชื่อมต่อทางรถไฟและรถประจำทาง บริการรถรับส่ง และเส้นทางจักรยาน

ฤดูกาลก็เป็นอีกประเด็นที่น่ากังวล แม้จะมีความพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากที่สุดในช่วงฤดูร้อน ส่วนฤดูหนาวมีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุด อาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของธุรกิจในท้องถิ่น สโลวีเนียจำเป็นต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยกิจกรรมและข้อเสนอต่าง ๆ ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินหรือสร้างแรงจูงใจให้กับธุรกิจขนาดเล็กที่อาจประสบปัญหาในการนำแนวทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนมาใช้ เช่น การได้รับการรับรองหรือการปรับปรุงอาคาร

ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเร่งตัวขึ้น สโลวีเนียจำเป็นต้องวางแผนสำหรับการท่องเที่ยวที่ชาญฉลาดด้านสภาพภูมิอากาศ ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน แต่ควบคู่ไปกับมาตรการการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนและฟื้นฟู อาจมีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน

หากสโลวีเนียสามารถสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวได้ ก็จะพิสูจน์ได้ว่าประเทศเล็ก ๆ ในยุโรปก็สามารถเป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลกได้เช่นกัน ไม่ใช่เพียงเพราะความจำเป็นด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจในระยะยาวอีกด้วย


ที่มา: Forbes