'กินเจ' ช่วยโลกร้อน วิจัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยัน ลดก๊าซเรือนกระจก-ลดมลพิษ 75%

'กินเจ' ช่วยโลกร้อน วิจัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยัน ลดก๊าซเรือนกระจก-ลดมลพิษ 75%

เทศกาลกินเจในไทยสอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืน ขณะที่งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยันว่า การกินอาหารแบบวีแกนช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลพิษทางน้ำ และการใช้ที่ดินได้ถึง 75% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์ปริมาณมาก

KEY

POINTS

  • งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยันว่า การกินอาหารแบบลดทานเนื้อสัตว์ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มลพิษทางน้ำ และการใช้ที่ดินในการผลิตอาหารได้ถึง 75% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์ปริมาณมาก
  • การกินเจซึ่งมีหลักการสำคัญคือการลดละเนื้อสัตว์ ถือเป็นแนวทางที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อนได้อย่างเป็นรูปธรรม
  • นอกจากการลดก๊าซเรือนกระจก การกินอาหารจากพืชยังช่วยลดการทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าได้

ระบบอาหารที่หล่อเลี้ยงผู้คนกว่า 8 พันล้านชีวิตบนโลก ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับสารอาหาร​ แต่ยังมีผลต่อทั้งโลกด้วย การเข้าใจว่าการผลิตอาหารส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร คือก้าวแรกของการดูแลโลกให้ยั่งยืน ทุกวันนี้ระบบอาหารทั่วโลกเป็นสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 1 ใน 3 ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากเครื่องบินทั่วโลก ใช้น้ำจืดของโลกกว่า 70% และก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำและทะเลสาบถึง 80% ขณะที่กว่า 75% ของที่ดินบนโลกถูกใช้ทำการเกษตร ส่งผลให้ป่าถูกทำลายและความหลากหลายทางชีวภาพลดลงอย่างรุนแรง

จากงานศึกษาวิจัย Vegans, vegetarians, fish-eaters and meat-eaters in the UK show discrepant environmental impacts ของ ศ.ปีเตอร์ สการ์โบโรห์ มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ที่เก็บข้อมูลจริงจากคนอังกฤษกว่า 55,000 คน และข้อมูลจากฟาร์ม 38,000 แห่ง ใน 119 ประเทศ เพื่อสะท้อนความแตกต่างของกระบวนการผลิตอาหารแต่ละแบบ ทำให้ผลการศึกษาน่าเชื่อถือมากขึ้น

วีแกน ลดก๊าซเรือนกระจก-ลดมลพิษ

ผลการศึกษาวิจัยระบุว่า การกินอาหารแบบวีแกนช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก เพราะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง รวมถึงลดมลพิษทางน้ำและการใช้พื้นที่ผลิตอาหารได้ถึง 75% เมื่อเทียบกับคนที่กินเนื้อสัตว์มากกว่า 100 กรัมต่อวัน นอกจากนี้ ยังช่วยลดการทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าลงได้ถึง 66% และใช้น้ำน้อยลงถึง 54%

"ศ.สการ์โบโรห์" กล่าวว่า การเลือกกินของเรามีผลต่อโลก แม้แต่เนื้อสัตว์ที่ดูมีผลกระทบต่ำที่สุด อย่าง​เช่น หมูออร์แกนิก ก็ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าอาหารจากพืชที่มีผลกระทบสูงสุดถึง 8 เท่า ดังนั้น การลดเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมสามารถช่วยลดรอยเท้าคาร์บอนจากอาหารได้อย่างชัดเจน

งานวิจัยยังระบุว่า ผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์น้อยกว่า 50 กรัมต่อวัน มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์มาก แต่ความแตกต่างระหว่างผู้ที่กินเนื้อน้อย มังสวิรัติ และเพสคาทาเรียน (กินปลาแต่ไม่กินเนื้อ) มีไม่มากนัก

'กินเจ' ช่วยโลกร้อน วิจัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยัน ลดก๊าซเรือนกระจก-ลดมลพิษ 75%

องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ระบุว่า การปรับเปลี่ยนมาทานอาหารมังสวิรัติสามารถช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยลดได้เฉลี่ยถึง 2.1 ตันต่อปีสำหรับผู้ที่ทานอาหารวีแกน และราว 1.5 ตันต่อปีสำหรับผู้ที่ทานมังสวิรัติทั่วไป

แม้การเปลี่ยนมาทานมังสวิรัติ วีแกน หรืออาหาร​ที่ไม่มีเนื้อสัตว์​แบบเต็มรูปแบบอาจไม่ใช่เรื่องง่ายในทันที แต่การเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น เพิ่มสัดส่วนผักในบางมื้ออย่างมื้อกลางวัน หรือกำหนดวันมังสวิรัติประจำสัปดาห์ ก็ถือเป็นก้าวเล็กๆ ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีความหมาย

เทศกาลกินเจ เพื่อสุขภาพ เพื่อโลก

เดือนตุลาคมของทุกปีในประเทศไทย คือช่วงเวลาแห่ง “เทศกาลกินเจ” ประเพณีที่มีจุดเริ่มต้นจากจังหวัดภูเก็ตตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก่อนจะขยายสู่ทุกภูมิภาคของประเทศไทย

ถึงแม้การรับประทานอาหาร​เจ จะมีรูปแบบต่างจากวีแกน และมังสวิรัติ​อยู่บ้าง แต่ทั้งหมดมีสิ่งที่คล้ายกันคือ ลดเนื้อสัตว์​

ทุกวันนี้ เทศกาลกินเจได้เติบโตไปไกลกว่าพิธีกรรมทางศาสนา กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่สะท้อนแนวคิดด้านสุขภาพ ความเมตตา และความยั่งยืนของโลก

รายงานฉบับล่าสุดจากคณะกรรมาธิการ EAT-Lancet ระบุว่า หากทั่วโลกหันมาปฏิบัติตามแนวทาง “อาหารเพื่อสุขภาพของโลก” (Planetary Health Diet) มนุษย์แทบทุกคนจะสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สอดคล้องกับวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนภายในปี 2050

แนวทางนี้ยังชี้ให้เห็นว่า หากนำไปใช้จริงในระดับโลก จะเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูประชากรกว่า 9.6 พันล้านคนอย่างเท่าเทียมในปี 2050 ลดการปล่อยคาร์บอนจากระบบอาหารได้กว่าครึ่ง และช่วยชีวิตผู้คนได้มากถึง 15 ล้านคนต่อปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

มังสวิรัติ-วีแกน-เจ เพื่อ Longevity

ประโยชน์ของอาหารจากพืชไม่ได้จำกัดแค่การช่วยโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพโดยตรง งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้ว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่เน้นพืชเป็นหลักมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และมะเร็งบางชนิดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน การบริโภคผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชเป็นประจำ ยังช่วยลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และอาจช่วยยืดอายุขัยให้ยาวนานขึ้น

งานวิจัย Veganism, aging and longevity: new insight into old concepts เผยว่า “อาหารจากพืช” โดยเฉพาะการทานอาหารแบบวีแกนหรือมังสวิรัติ เข้ามีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและอายุยืนของมนุษย์มากขึ้น โดยพบว่าผู้ที่ทานอาหารจากพืชมีแนวโน้มป่วยด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ในแง่อัตราการเสียชีวิตโดยรวมยังใกล้เคียงกัน

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่า ระบบจุลชีพในลำไส้ของผู้ที่ทานวีแกนมีความหลากหลายมากกว่า ซึ่งอาจมีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและการเผาผลาญของร่างกาย กลไกที่ช่วยยืดอายุจากการทานวีแกนยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่อาจเกี่ยวข้องกับการจำกัดปริมาณโปรตีนหรือกรดอะมิโนบางชนิด เช่น ลิวซีน (leucine) และเมไทโอนีน (methionine) ที่เชื่อว่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายทำงานสมดุลมากขึ้น

'กินเจ' ช่วยโลกร้อน วิจัยอ็อกซ์ฟอร์ดยืนยัน ลดก๊าซเรือนกระจก-ลดมลพิษ 75%

5 แห่งทั่วโลกที่คนอายุยืนที่สุด เพราะกินพืชเป็นหลัก

เบื้องหลัง “ความยืนยาวของชีวิต” อาจไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด งานศึกษาจากโครงการ Blue Zones ของนักเขียนชาวอเมริกัน แดน บูตต์เนอร์ (Dan Buettner) เผยว่า พื้นที่ 5 แห่งทั่วโลกที่ผู้คนมีอายุยืนที่สุด ล้วนมีจุดร่วมสำคัญคือ “การกินอาหารจากพืชเป็นหลัก”

พื้นที่ทั้งห้าได้แก่ โอกินาวา (ประเทศญี่ปุ่น), ซาร์ดิเนีย (ประเทศอิตาลี), โลมา ลินดา (สหรัฐอเมริกา), อิคาเรีย (ประเทศกรีซ) และคาบสมุทรนิโคยา (ประเทศคอสตาริกา) ซึ่งแม้มีวัฒนธรรมแตกต่างกัน แต่ทุกแห่งต่างมีรูปแบบการกินที่คล้ายกัน คืออาหารจากพืชกว่า 95% โดยเฉพาะถั่ว ผักท้องถิ่น และธัญพืช ที่อุดมด้วยไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง และโรคเรื้อรัง

โอกินาวา แหล่งเรียนรู้สุขภาพของโลก

เดิมชาวโอกินาวากินมันเทศเป็นหลัก ร่วมกับผักใบเขียวและถั่วเหลือง ไขมันในอาหารคิดเป็นเพียง 6% ของพลังงานทั้งหมด ทำให้คนที่นี่มีอายุยืนที่สุดในญี่ปุ่นในอดีต แต่หลังจากอาหารตะวันตกเข้ามา ความนิยมบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นและอายุขัยเฉลี่ยเริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม โอกินาวายังถือเป็นแหล่งเรียนรู้สุขภาพของโลก เพราะแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในโภชนาการและสุขภาพสามารถเปลี่ยนชีวิตคนทั้งประเทศได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ

กลุ่มศาสนา หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์

เมืองแห่งนี้อยู่ใกล้ลอสแอนเจลิส และเป็นบ้านของกลุ่มศาสนา เซเว่นธ์เดย์ แอดเวนติสต์ (Seventh-day Adventists) ราว 9,000 คน ที่หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ คาเฟอีน และบุหรี่ คนที่นี่มีอายุยืนกว่าคนทั่วไปในรัฐแคลิฟอร์เนียถึง 10 ปี งานวิจัยระยะยาวพบว่า ผู้ที่กินมังสวิรัติมีความเสี่ยงโรคหัวใจลดลงครึ่งหนึ่ง และอัตราโรคมะเร็งลำไส้กับต่อมลูกหมากต่ำกว่าอย่างชัดเจน อีกทั้งยังดื่มน้ำมาก (วันละ 5–6 แก้ว) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงหัวใจวายได้ถึง 70%

ซาร์ดิเนีย กินเนื้อสัตว์เฉพาะวันอาทิตย์

ชาวซาร์ดิเนียใช้ชีวิตเรียบง่ายและเคลื่อนไหวอยู่เสมอจากการทำฟาร์มและเลี้ยงสัตว์ พวกเขาดื่มไวน์แดงท้องถิ่นวันละแก้วหรือสองแก้ว ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ เรสเวอราทรอล (resveratrol) สูงกว่าปกติถึง 3 เท่า ช่วยปกป้องหัวใจจากโรคหลอดเลือด อีกทั้งยังดื่มนมแพะที่อุดมด้วยสารต้านการอักเสบและกินถั่วฟาวา ถั่วลูกไก่ และชีสจากนมแกะที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เนื้อสัตว์ถูกสงวนไว้เฉพาะวันอาทิตย์หรือโอกาสพิเศษเท่านั้น

ลดทำบาปต่อสัตว์

“ศนีกานต์ รศมนตรี” กรรมการผู้จัดการ Sinergia Animal องค์กรพิทักษ์สัตว์นานาชาติ ประเทศไทย กล่าวว่า กล่าวว่า เบื้องหลังอาหารที่เรากินทุกวัน ยังมีอีกด้านที่ควรใส่ใจ นั่นก็คือ อุตสาหกรรมปศุสัตว์ ยังคงเป็นพื้นที่ที่สัตว์นับล้านต้องอยู่ในกรงแคบ ไร้อิสรภาพ

“การทานเจหรือ​วีแกนช่วยยกระดับสวัสดิภาพสัตว์ไม่ใช่เพียงประเด็นด้านจริยธรรม แต่ยังเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสุขภาพของผู้บริโภค และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจของประเทศ"

ถึงแม้การกินเจไม่สามารถ​รับประทาน​ไข่ได้ แต่ในมุมของสวัสดิภาพ​สัตว์ ที่ผ่านมา​ ซิเนอร์เจีย แอนนิมอล ได้ทำงานร่วมกับภาคธุรกิจไทยเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ปัจจุบันหลายบริษัทชั้นนำ เช่น Banyan Tree, Zen Group, Sukishi, Minor Food และ Minor Hotels ได้ประกาศนโยบาย ‘ไข่ปลอดกรง’ (cage-free eggs) แล้ว ขณะที่ ONYX Hospitality ใช้ไข่ปลอดกรงครบ 100% และ Best Western ปรับสัดส่วนเป็น 70% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจหันมาใช้ไข่ปลอดกรง ยังเป็นการขับเคลื่อนองค์กรให้สอดคล้องกับแนวทาง ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และเป้าหมายความยั่งยืนระยะยาว ปัจจุบันภาคเอกชนไทยเริ่มตอบรับแนวทางนี้มากขึ้น โดยในปี 2567 มีบริษัทจดทะเบียนถึง 228 แห่ง ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้านความยั่งยืน เพิ่มขึ้นกว่า 43% จากปีก่อน

“ผู้บริโภคคือพลังขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลง พวกเขาเริ่มตั้งคำถามมากขึ้น เรียกร้องความโปร่งใสจากผู้ผลิต และยินดีจ่ายมากขึ้นเพื่อสินค้าที่มีความรับผิดชอบต่อโลก นี่จึงไม่ใช่อุปสรรคของภาคธุรกิจ แต่คือโอกาส ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ และร่วมกันพาประเทศสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนในอนาคต”