เมื่อ 'โลกร้อน' คือแรงขับเคลื่อนใหม่ทางเศรษฐกิจ | ASEAN Insight

เมื่อ 'โลกร้อน' คือแรงขับเคลื่อนใหม่ทางเศรษฐกิจ | ASEAN Insight

เราอาจคุ้นกับแนวคิดที่ว่า เศรษฐกิจเติบโตจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างประเทศ หรือกำลังซื้อภายในประเทศ แต่วันนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นอีกแรงขับสำคัญ ที่กำหนดทั้งโอกาสและข้อจำกัดของเศรษฐกิจยุคใหม่

จากกรายงานของ The World Bank 2025 ฉบับล่าสุด ระบุว่า หากประเทศไทยไม่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง จะยิ่งทำให้เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2027 เป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้น แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจในหลายด้านก็ตาม ทั้งนี้ รายงานยังคาดการณ์ว่า ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม ภัยแล้ง และคลื่นความร้อนที่ทวีความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทย ลดลงถึง 7–14 % ในอนาคต

ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันภายในประเทศ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยจากข้อมูลจาก International Energy Agency (IEA) ระบุว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 0.7 % ของการปล่อยทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในมิติต่อหัวประชากร (per capita) จะพบว่ามีระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม โดยอยู่ที่ 3.487 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อคนในปี 2022

ขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียว การพิจารณามิติด้านสิ่งแวดล้อมจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ เพราะหากประเทศอื่นสามารถดำเนินการได้ดีกว่า ไทยอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้าได้

ทั้งนี้ รายงานของธนาคารโลก (World Bank) ยังระบุด้วยว่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรม ซึ่งยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องเล็กหรือเป็นเพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่เป็น “เงื่อนไขสำคัญ” ของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่

ทวีปเอเชียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด โดยข้อมูลจาก The World Data 2023 ระบุว่า การปล่อย CO₂ ของเอเชียอยู่ที่ 7.63 พันล้านตัน หากพิจารณาในบริบทของอาเซียน ข้อมูลจากการศึกษาของ Hon Chung Lau และ Xianlong Lin ชี้ว่า อาเซียนมีส่วนร่วมในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ราว 4.75 % ของการปล่อยทั่วโลก โดยประเทศสมาชิกที่ปล่อย CO₂ สูงที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ประเทศไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งสอดคล้องกับ 5 ประเทศหลัก ๆ ที่มีมูลค่าการส่งออกมากที่สุดในอาเซียน

ถึงแม้อาเซียนจะพยายามรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านกลไกต่าง ๆ แต่ก็ยังเผชิญ ข้อท้าทายสำคัญ ซึ่งรายงาน ASEAN State of Climate Change Report ระบุไว้ เช่น การเชื่อมโยงและการเข้าถึงข้อมูลด้านภูมิอากาศ ข้อจำกัดด้านงบประมาณ และความแตกต่างด้านศักยภาพของแต่ละประเทศสมาชิก ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาเซียนเผชิญ

อาเซียนอาจจำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยการเรียนรู้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงของข้อมูลและความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อยกระดับศักยภาพในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ ทั้งนี้ หากอ้างอิงจากรายงานของธนาคารโลก ในกรณีของประเทศไทย ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่เพียงก่อให้เกิดผลกระทบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาวของภูมิภาคอาเซียนด้วย

หลายประเทศในภูมิภาคได้เริ่มเผชิญผลกระทบอย่างชัดเจน เช่น เหตุการณ์น้ำท่วมในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หรือสภาพอากาศที่ร้อนจัดซึ่งส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรในหลายประเทศ ดังนั้น การให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงไม่ใช่เพียงประเด็นสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากแต่เป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการแข่งขันของอาเซียนในอนาคต