'GCC' เดินหน้าปั้นแรงงานสีเขียว รับพ.ร.บ.โลกร้อน-เป้า Net Zero 2050

'GCC' เดินหน้าปั้นแรงงานสีเขียว รับพ.ร.บ.โลกร้อน-เป้า Net Zero 2050

“GCC” ชี้ พ.ร.บ.โลกร้อน พลิกโฉมตลาดแรงงานสิ่งแวดล้อม เปิดอาชีพใหม่กว่า 5 หมื่นตำแหน่ง ใน 3 ปี ข้างหน้า เร่งสร้างคนสู่เป้าหมาย Net Zero

KEY

POINTS

  • การประกาศใช้ พ.ร.บ.โลกร้อน จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อระบบแรงงานไทย 4 กลุ่มอาชีพหลัก คือ กลุ่มพัฒนาความยั่งยืนองค์กร, กลุ่มที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ด้านก๊าซเรือนกระจก, กลุ่มตรวจสอบและทวนสอบรายงานก๊าซเรือนกระจก และกลุ่มจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต
  • GCC พบว่า ตลาดแรงงานสิ่งแวดล้อมในไทยจะต้องการบุคลากรกว่า 50,000 ตำแหน่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า แต่ไทยมีบุคลากรที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเพียงหลัก 100 คน เช่น ที่ปรึกษาเพียง 530 ราย และผู้ตรวจสอบ–ทวนสอบเพียงราว 100 คน บริษัทที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกลางมีไม่ถึง 25 แห่ง
  • หากประเทศไทยต้องการขยับเป้าหมาย Net Zero มาเป็นปี 2050 สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องรู้ว่าธุรกิจแต่ละแห่งปล่อยคาร์บอนเท่าไร แต่หากบุคลากรที่ทำหน้าที่ประเมินและตรวจสอบมีไม่พอ จะทำให้การขับเคลื่อนทั้งระบบล่าช้า

ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำทั่วโลก ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) เตรียมมีผลบังคับใช้ในปี 2569 ซึ่งไม่เพียงเป็นกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็น “ตัวเร่ง” ให้เกิดอาชีพใหม่จำนวนมหาศาลในสายงานสิ่งแวดล้อม ทั้งในภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐ

นายตรีเทพ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คาร์บอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (GCC) เปิดเผยว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.โลกร้อนจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่อระบบแรงงานไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มอาชีพหลัก ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคาร์บอน ได้แก่

1. กลุ่มพัฒนาความยั่งยืนองค์กร (Sustainability Development) เช่น เจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Officer) ซึ่งบริษัทมหาชนหลายแห่งเริ่มเปิดรับตำแหน่งนี้แล้ว

2. กลุ่มที่ปรึกษาและนักวิเคราะห์ด้านก๊าซเรือนกระจก (GHG Consultant & Analyst) ครอบคลุมการประเมิน การออกแบบมาตรการลดและปรับตัวต่อผลกระทบจากโลกร้อน

3. กลุ่มตรวจสอบและทวนสอบรายงานก๊าซเรือนกระจก (Validator & Verifier) ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลการปล่อยคาร์บอนขององค์กร คล้ายกับผู้ตรวจสอบบัญชี

4. กลุ่มจัดการและซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit Management & Trading) ที่จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันธุรกิจสู่เป้าหมาย Net Zero

นายตรีเทพ กล่าวว่า จากการประเมินของ GCC พบว่า ตลาดแรงงานสิ่งแวดล้อมในไทยจะต้องการบุคลากรกว่า 50,000 ตำแหน่งในช่วง 3 ปีข้างหน้า แต่ขณะนี้ประเทศไทยมีบุคลากรที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการเพียงหลัก 100 คน เช่น ที่ปรึกษาเพียง 530 ราย และผู้ตรวจสอบ–ทวนสอบเพียงราว 100 คน ขณะที่บริษัทที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกลางมีไม่ถึง 25 แห่ง

“หากประเทศไทยต้องการขยับเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องรู้ว่าธุรกิจแต่ละแห่งปล่อยคาร์บอนเท่าไร แต่หากบุคลากรที่ทำหน้าที่ประเมินและตรวจสอบมีไม่พอ จะทำให้การขับเคลื่อนทั้งระบบล่าช้า” นายตรีเทพ กล่าว

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนคล้ายกับประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ที่ต่างเผชิญปัญหาขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน Validator และ Verifier เช่นกัน ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบและการซื้อขายคาร์บอนเกิดคอขวด

ทั้งนี้ เพื่อรองรับแนวโน้มนี้ GCC ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น พัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาตรีด้าน “Carbon Footprint – Net Zero” สำหรับนักศึกษาชั้นปี 3–4 คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อปลูกฝังความเข้าใจในกระบวนการประเมินและลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสร้างบุคลากรที่มีทั้งทักษะเชิงทฤษฎีและปฏิบัติจริง โดยคาดว่าจะผลิตบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงานได้กว่า 300 คนต่อปี

นายตรีเทพ กล่าวย้ำว่า การสร้างบุคลากรที่มีความรู้และความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อมคือ “รากฐานสำคัญ” ของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน เพราะบุคลากรเหล่านี้จะเป็น “ตัวเชื่อมระหว่างกฎหมาย มาตรการ และการปฏิบัติจริง” ทั้งในภาคธุรกิจ ชุมชน และท้องถิ่น

“การสร้างคนคือการสร้างอนาคต หากเรามีคนที่พร้อม ประเทศไทยก็จะสามารถก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมั่นคง”