“ไทย”พร้อมทำ FTA- กลุ่ม GCC เชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่อ่าวอาหรับ

กลุ่ม GCC มหาอำนาจเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ไทยเล็งขอเจราทำ FTA เพิ่มโอกาสขยายมูลค่าและความสัมพันธ์ทางการค้า กรมเจรจาการค้าต่างประเทศ เผย หากปิดดีลได้ทำจีดีพีไทย ขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.36-0.49 % ส่งออกไทยไปยัง GCC ขยายตัวเพิ่มขึ้น 2,179-4,095 ล้านดอลลาร์
KEY
POINTS
Key Point
- กลุ่ม GCC มหาอำนาจเศรษฐกิจกลุ่มใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
- “กลุ่ม GCC ” ประกอบด้วยรัฐรอบอ่าวอาหรับ 6 ประเทศมหาอำนาจที่สำคัญในตะวันออกกลาง ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ คูเวต โอมาน และบาห์เรน
- IMF เผย ในปี 2568 ประเทศในกลุ่ม GCC มี GDP รวมกัน 2.16 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 44.51 %ของ GDP ในตะวันออกกลาง และ 1.89 % ในโลก
- กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยผลศึกษาการทำ FTA ระหว่างไทยกับ GCC ทำให้จีดีพีไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.36-0.49 % การส่งออกของไทยไปยัง GCC จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2,179-4,095 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 23.85-44.82 %
- ปี 2567 ไทยและ GCC มีมูลค้าการค้ารวม 35,761.95 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 2.71 % จากปี 2566
กลุ่มประเทศสมาชิก คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ Gulf Cooperation Council: GCC) ได้รับความสนใจและเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน–คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยที่ประชุมได้รับรองเอกสาร 2 ฉบับ ได้แก่
1. แถลงการณ์ร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Joint Statement of the Second Summit of ASEAN and GCC)
2. ปฏิญญาร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน กับคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Joint Declaration on Economic Cooperation between the ASEAN and GCC)
โดยเอกสารดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับอาเซียนในการส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและกับประเทศนอกภูมิภาค ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากนโยบายทรัมป์นับเป็นความก้าวหน้าของกลุ่มอาเซียนที่ร่วมมือกับกลุ่ม GCC เพื่อเปิดตลาดใหม่และเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ
“กลุ่ม GCC ” คือใคร ???? ทำไมมีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ “กลุ่ม GCC ” ประกอบด้วยรัฐรอบอ่าวอาหรับ 6 ประเทศมหาอำนาจที่สำคัญในตะวันออกกลาง ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กาตาร์ คูเวต โอมาน และบาห์เรน โดยกลุ่ม GCC เป็นองค์การความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคในตะวันออกกลาง ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 1981 (พ.ศ.2524) สำนักเลขาธิการตั้งอยู่ที่กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
ข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ณ เดือนพ.ค. 2568
ระบุว่า ในปี 2568 ประเทศในกลุ่ม GCC มี GDP รวมกัน 2.16 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็น 44.51 %ของ GDP ในตะวันออกกลาง และ 1.89 % ในโลก มีประชากรรวมกัน 62.47 ล้านคน คิดเป็น18.12% ของตะวันออกกลาง และ 0.78 % ของโลก และประเทศสมาชิก GCC มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรอยู่ในอัตราที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และเป็นกลุ่มที่มีความเข็มแข็งทางเศรษฐกิจสูง
ในส่วนของไทย โดยกระทรวงพาณิชย์มีนโยบายกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับสมาชิก GCC อย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการผลักดันการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA)กับสมาชิก GCC และจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียที่ดีขึ้นตามลำดับ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะผลักดันการจัดทำ FTA กับสมาชิก GCC อีกครั้ง อย่างไรก็ดี สมาชิก GCC บางประเทศอาทิ ซาอุดีอาระเบีย แจ้งว่า ไม่สามารถจัดทำ FTA ทวิภาคีได้ และมีนโยบายจัดทำ FTA ในนามกลุ่ม GCCเท่านั้น ดังนั้น การผลักดันการจัดทำ FTA ของไทยจึงมุ่งเน้นไปที่การจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับกลุ่ม GCC
“โชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล ” อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยมองเห็นถึงโอกาสในการขยายมูลค่าและความสัมพันธ์ทางการค้ากับ GCC เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารสูง จึงเป็นโอกาสการขยายตัวทางด้านการส่งออกของไทยในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมไปถึงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในหลายประเทศของ GCC ที่เติบโตต่อเนื่องที่ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสในการขยายตลาดแรงงาน และนักลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างของไทยด้วยโดยการให้ความสำคัญกับกลุ่ม GCC ซึ่งเป็นกลุ่มมหาอำนาจของตะวันออกกลางจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ไทยในภูมิภาคตะวันออกกลางมากยิ่งขึ้น
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเดินหน้าจัดทำ FTA กับ GCC กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้ดำเนินโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับกลุ่ม GCC พบว่า การจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับ GCC จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.36-0.49 % ขณะเดียวกัน GDP ของ GCC จะขยายตัวเพิ่มขึ้น0.02-0.05 % การส่งออกของไทยไปยัง GCC จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2,179-4,095 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 23.85-44.82 %และการส่งออกของ GCC มายังไทย จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 827-1,313 ล้านดอลลาร์หรือคิดเป็น 3.65-5.80 %
สินค้าไทยที่คาดว่าจะส่งออกไปยัง GCC ได้เพิ่มขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือและเครื่องจักร ยานยนต์ และชิ้นส่วน เป็นต้น สินค้า GCC ที่คาดว่าจะส่งออกมายังไทยเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืช ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปิโตรเลียมและถ่านหิน เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์โลหะ ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้นขณะที่ สาขาบริการของไทยและ GCC ที่คาดว่าจะซื้อขายระหว่างกันเพิ่มขึ้น เช่น การค้า การขนส่ง คลังสินค้าและบริการสนับสนุน และบริการด้านธุรกิจ เป็นต้น
ในส่วนของการเดินหน้าเจรจา FTA ไทย – GCC นั้น นางสาวโชติมา ให้ข้อมูลว่า ในการเข้าสู่การเจรจาจัดทำ FTA ไทย – GCC นั้น ไทยจะต้องส่งหนังสือแสดงความประสงค์ของไทยในการจัดทำ FTA ไปยังสำนักเลขาธิการ GCC ณ กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย เพื่อให้ฝ่าย GCCพิจารณา ซึ่งในขณะเดียวกัน หากไทยมีการพบหารือทวิภาคีกับประเทศสมาชิก GCC ในระดับต่าง ๆ ไทยสามารถผลักดันและหยิบยกประเด็นขอรับการสนับสนุนกรณีที่ไทยยื่นความประสงค์จะเจรจาจัดทำ FTAกับ GCC ได้
โดยที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวกับประเทศสมาชิก GCCไปบ้างแล้วในโอกาสการพบหารือระดับสูงในวาระต่าง ๆ อย่างไรก็ตามแม้ยังไม่มี FTA ไทย – GCC แต่กลุ่ม GCC เป็นประเทศคู่ค้าที่เป็นตลาดศักยภาพของไทยในตะวันออกกลาง
โดยมูลการค้าระหว่างไทยกับ GCC ในช่วง 5 ปี (ปี 2563 - 2567) มีมูลค่าเฉลี่ย 28,271.67 ล้านดอลลาร์ โดยในปี 2567 ไทยและ GCC มีมูลค้าการค้ารวม 35,761.95 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 2.71 % จากปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 5.89 % ของการค้าทั้งหมดของไทยในตลาดโลก และ 87.97 % ของการค้าไทยในตะวันออกกลาง โดย UAE เป็นสมาชิก GCC ที่มีมูลค่าการค้ากับไทยสูงที่สุด
ทั้งนี้ ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค. - มี.ค.) การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 10,148.61 ล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 22.78 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็น 6.27 %ของการค้าทั้งหมดของไทย
จากข้อมูลของกลุ่ม GCC เห็นได้ว่า หากไทยสามารถเปิดการเจรจา FTA กับกลุ่ม GCC จะเป็นโอกาสดีที่ไทยได้จะได้เปิดตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง และยังมีความต้องการสินค้าจากไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าไทยมีศักยภาพ สามารถส่งออกไปยังกลุ่ม GCC ได้มากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสใหม่ทางการค้าของไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของการค้าโลก







