GGC นำร่อง ‘ปาล์มน้ำมัน’ สู่คาร์บอนต่ำ เตรียมพร้อมรับ EUDR

นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC กล่าวในวงเสวนาในหัวข้อ ”Technology Strategy for Energy Goal” ภายในงาน Sustainability Expo 2025 “A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” เมื่อวันที่ 3 ต.ค.2568  ว่า GGC ในฐานะผู้ผลิตเคมีภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลิตไบโอดีเซล (B1) กลีเซอรีน ที่ใช้ในอาหารและยา และแฟตตี้แอลกอฮอล์ ใช้ในเครื่องสำอางและของใช้ในบ้าน

"เราเป็นผู้ผลิตปลายน้ำที่มีเป้าหมายด้านความยั่งยืนในการลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยลำพัง แต่ต้องย้อนกลับไปดูจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) คือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งมีถึงประมาณกว่า 400,000 ครอบครัวที่เป็นเกษตรกรรายย่อย"

โดย GGC ได้ริเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2565 เพื่อช่วยเกษตรกรปรับตัวรับมือกับการผลิตสินค้าสีเขียว (Green Product) และเป็นไปตามกฎกติกาของสหภาพยุโรป ว่าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากการตัดไม้ทำลายป่า(EUDR) ซึ่งปาล์มน้ำมันเป็นหนึ่งในเจ็ดพืชเกษตรที่เกี่ยวข้องกับ EUDR

อย่างไรก็ตาม เกษตรกรรายย่อยไม่สามารถอยู่รอดได้ด้วยตนเองและขาดทุนในการพัฒนา ดังนั้น GGC จึงได้เริ่มส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกรเป็นวิสาหกิจชุมชน โดยมี 6 วิสาหกิจชุมชนที่เป็นต้นแบบ และรวมกลุ่มเกษตรกรได้กว่า 1,000 ราย

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเกษตรกร เนื่องจากกระบวนการปลูกคาร์บอนต่ำต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของปาล์มเพื่อคำนวณเป็นคาร์บอนเครดิต หากใช้วิธีวัดขนาดต้นหรือพุ่มแบบเดิม จะใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง ซึ่งอาจทำให้เกษตรกรเลิกทำได้

ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหานี้ GGC จึงได้ร่วมมือกับ “ไทยคม” ในการนำเทคโนโลยีดาวเทียมที่เรียกว่า "Carbon Watch" เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถทำงานที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลามากได้ง่ายขึ้น และสามารถบรรลุเป้าหมายคาร์บอนต่ำ และตอบโจทย์การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ไปถึงแปลงปลูกตามข้อกำหนด EUDR ได้ โดยโครงการในระยะต่อไป จะมีการพัฒนาไปสู่การเก็บกักคาร์บอน (Carbon Capture) ด้วยต้นปาล์ม

นายกฤษฎา กล่าวว่า จากการดำเนินโครงการ GGC มีเป้าหมายคือการมุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง โดย GGC ไม่ได้เรียกร้องผลตอบแทนใด เนื่องจากถือว่าเกษตรกรช่วย GGC ทางอ้อมในฐานะทีเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบคาร์บอนต่ำ 

ซี่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรในโครงการ 30,000 กว่าไร่ ได้แก่ 1. ผลผลิตเพิ่มขึ้น จากเดิมเฉลี่ย 2.8 ตันต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.8 ตันต่อไร่ หรือ 30%

2. ต้นทุนลดลง ต้นทุนเฉลี่ยลดลงจาก 3 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 2.2 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง 25%

3. รายได้เพิ่มขึ้นจากการผลิตวัตถุดิบพรีเมียมเกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ราคาพรีเมียมกว่าเดิมประมาณกิโลกรัมละ 1 บาท หลังผ่านการรับรองมาตรฐานสากล ISPO 

นายกฤษฎา กล่าวว่า เกษตรกรในโครงการมีความสุขมากและเรียกร้องให้ดำเนินการเรื่องคาร์บอน ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ โมเดลต้นแบบจากปาล์มน้ำมันและอ้อย ยังสามารถขยายผลไปยังภาคการเกษตรอื่นๆ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศได้

ทั้งนี้ ความท้าทายหลักคือการขยายโมเดลความสำเร็จนี้ให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกปาล์มทั้งหมด 6.4 ล้านไร่ ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังใน 4 ด้าน ประกอบไปด้วย

1. สนับสนุน Green Fund และต้นทุนการผลิต รัฐบาลควรสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรที่เป็น Green Product โดยอาจจัดตั้ง "Green Fund" ให้กับพวกเขา

2. สร้างความต่อเนื่องและตลาด รัฐบาลต้องมีความจริงจังและต่อเนื่องในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างกรณีไบโอดีเซล ที่มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี แต่การสนับสนุนอาจถูกยกเลิก ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคต่อความต่อเนื่อง

3. ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Benefit) รัฐบาลควรให้เครดิตหรือส่วนลดภาษีแก่ผู้ที่ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์หรือกลีเซอรีนเกรดอาหารและยา ปัจจุบันมาตรการภาษีส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การลงโทษผู้ที่ปล่อยคาร์บอน แต่ไม่มีผลประโยชน์สำหรับผู้ที่ทำดี

4. เร่งรัดการจัดทำ Local Map ของประเทศ ประเทศไทยขาดแผนที่ท้องถิ่น (Local Map) ที่ชัดเจน ซึ่งทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการค้า หากไม่มี Local Map มาตรฐานของ EU จะถูกนำมาใช้กำหนดว่าพื้นที่ใดเป็นป่าหรือไม่ใช่ป่า ซึ่งอาจทำให้อำนาจการตัดสินใจถูกครอบคลุมโดย EU และกลายเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก