เปิดฉากไทยเจ้าภาพ แบตเตอรี่อาเซียน ABTC 2025 พลังงานยุค​ใหม่​ สะอาด​ ปลอดภัย

เปิดฉากไทยเจ้าภาพ แบตเตอรี่อาเซียน ABTC 2025 พลังงานยุค​ใหม่​ สะอาด​ ปลอดภัย

ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่อาเซียน (ABTC 2025) ครั้งที่ 3 ไทยมีข้อได้เปรียบเชิงอุตสาหกรรม แต่ต้องเร่งพัฒนามาตรฐาน ศูนย์ทดสอบ และการบังคับใช้กฎหมาย

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นสถานที่จัดงานประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่อาเซียน (ABTC 2025) ครั้งที่ 3
  • สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) เป็นเจ้าภาพจัดงาน รวมพลังภาครัฐ–วิชาการ–เอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
  • ศ.สแตนลีย์ วิตติงแฮม เจ้าของรางวัลโนเบลเคมีในฐานะ “ผู้ปฏิวัติพลังงานโลก” เข้าร่วม โอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์
  • ความปลอดภัยเป็นอุปสรรคสำคัญ → อาเซียนเปิดตัว Battery Safety Network เพื่อยกระดับมาตรฐานร่วม
  • ดร.พิมพา แนะ ไทยมีข้อได้เปรียบเชิงอุตสาหกรรม แต่ต้องเร่งพัฒนามาตรฐาน ศูนย์ทดสอบ และการบังคับใช้กฎหมาย
  • ระบบกักเก็บพลังงานคือ กุญแจสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ในยุคที่ทั่วโลกต่างมุ่งหน้าสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและการใช้พลังงานสะอาด สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวทันกระแสโลกนี้ ในฐานะเจ้าภาพหลัก การประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของอาเซียน (ASEAN Battery Technology Conference) ปี 2025 หรือ ABTC 2025 ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 3 ต่อจาก ครั้งที่ 2 ที่สิงคโปร์ และครั้งแรกที่อินโดนีเซีย โดยปีนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 320 คนจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ระหว่าง​วันที่​ 27-29 สิงหาคม​

‘กรุงเทพธุรกิจ’ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ดร.พิมพา ลิ้มทองกุล” ผู้ร่วมก่อตั้งและนายกสมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) เพื่อเจาะลึกถึงวิสัยทัศน์ ความท้าทาย และโอกาสระดับภูมิภาคของประเทศไทยในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่

“ดร.พิมพา” เล่าว่า TESTA ก่อตั้งโดยหน่วยงานจากภาครัฐ มหาวิทยาลัย และภาคเอกชน โดยมีสมาชิกประมาณ 140 ราย ครอบคลุมผู้ประกอบการแบตเตอรี่ เทคโนโลยี และพลังงานสะอาด

"TESTA ทำหน้าที่เป็น 'neutral party' (ผู้ไม่หวังผลประโยชน์) ซึ่งมีความรู้และสามารถให้คำแนะนำที่เที่ยงตรง โดยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม แม้ว่าจะไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำและไม่มีการรับทุนโครงการ แต่ทีมงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักวิจัยที่เสียสละเวลามาช่วยกันขับเคลื่อนสมาคมนี้ด้วยใจ พวกเขาเล็งเห็นว่าบทบาทของศูนย์วิจัยแห่งชาติไม่ได้มีแค่การทำวิจัยและตีพิมพ์ผลงาน แต่ต้องสร้างอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจด้วย”

ปัจจุบัน TESTA ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้น และภาคเอกชนก็เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นผู้นำกลุ่มทำงานด้านนโยบาย กฎระเบียบ ความปลอดภัย และการจัดการซากแบตเตอรี่หลังสิ้นอายุไข สิ่งนี้ช่วยให้เกิด "real voice" หรือเสียงที่แท้จริง จากภาคเอกชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบาย

เปิดฉากไทยเจ้าภาพ แบตเตอรี่อาเซียน ABTC 2025 พลังงานยุค​ใหม่​ สะอาด​ ปลอดภัย

ระบบกักเก็บพลังงาน กุญแจสู่โลกสีเขียว

“ดร.พิมพา” กล่าวด้วยว่า แนวคิดเบื้องหลังเรื่องราวของพลังงานและการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) นั้นมาจากเป้าหมายหลักในการทำให้โลกของเรา "เขียวขึ้น" เพื่ออนาคตที่ดีกว่า สิ่งนี้สอดคล้องกับความต้องการที่จะลดการปล่อยคาร์บอนและการใช้แหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมมานานกว่า 25 ปีแล้ว

“เมื่อพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ มีราคาที่เข้าถึงได้มากขึ้น สิ่งที่ท้าทายต่อไปคือการจัดการกับความไม่สม่ำเสมอของพลังงานเหล่านี้ ระบบกักเก็บพลังงานเหมือนกับ 'ถังเก็บน้ำ'​ ที่ช่วยให้เราสามารถเก็บพลังงานไว้ใช้เมื่อจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้งานพลังงานจะไม่สะดุด ด้วยเหตุนี้เอง ระบบกักเก็บพลังงานจึงถูกเรียกว่าเป็น 'key enabler' สำหรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (energy transition)”

เปลี่ยนผ่านสู่ EV สร้างบทพิสูจน์ใหม่

“ดร.พิมพา” ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า (EV transition) จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน ในช่วงแรกนั้น แบตเตอรี่อาจใช้ได้เฉพาะกับโทรศัพท์มือถือและมีข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและราคา อย่างไรก็ตาม เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นและมีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ตลาด EV ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว

"ประเด็นสำคัญคือ ความแตกต่างด้านความปลอดภัยระหว่างแบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือกับรถยนต์ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือ ถูกออกแบบมาให้มีความหนาแน่นพลังงานสูง (high energy density) เพื่อเก็บไฟได้มากในขนาดเล็กและน้ำหนักเบา แต่ในทางเทคนิคแล้ว ความหนาแน่นพลังงานที่สูงขึ้นก็มักจะมาพร้อมกับ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยมากกว่า เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่รถยนต์ขนาดใหญ่ ที่เน้นความเสถียร เช่น แบตเตอรี่ตะกั่วกรด (lead-acid) หรือโซเดียม-ซัลเฟอร์ เป็นต้น"

ผู้ปฏิวัติพลังงานโลก

การประชุม ABTC 2025 จัดที่จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย ภายใต้ธีม “เพื่อวันพรุ่งนี้ที่เขียวขึ้น: ขับเคลื่อนความปลอดภัยและนวัตกรรมแบตเตอรี่เพื่อคนรุ่นใหม่ของอาเซียน” (For a Greener Tomorrow: Advancing Battery Safety and Innovation for ASEAN’s Next Generation) พร้อมทั้งเป็นเวทีเปิดตัว ASEAN Battery Safety Network และยังเน้นหัวข้อสำคัญที่มีผลกระทบสูง เช่น วัสดุขั้นสูง การออกแบบแพ็กแบตเตอรี่ การรีไซเคิล และมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนภูมิภาคไปสู่ระบบนิเวศแบตเตอรี่ที่ยั่งยืนและปลอดภัย

ด้วยเหตุนี้ การประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของอาเซียน ปี 2025 จึงเชิญ "ศาสตราจารย์ สแตนลีย์ วิตติงแฮม" (Prof. Stanley Whittingha) เจ้าของรางวัลโนเบลเคมี ปี 2019 ร่วมเวที ท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักเคมีผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ในฐานะ “ผู้ปฏิวัติพลังงานโลก” จากการคิดค้นและพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เทคโนโลยีนี้ช่วยปูทางสู่ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด และเป็นหัวใจของ ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และการจัดเก็บพลังงานในอนาคต

การเข้าร่วมของศาสตราจารย์วิตติงแฮมในการประชุมครั้งนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความสำคัญของภูมิภาคอาเซียนในห่วงโซ่อุปทานด้านพลังงานใหม่ แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ตรงจากผู้บุกเบิกเทคโนโลยีระดับโลก นักวิชาการและผู้กำหนดนโยบายในภูมิภาคจะได้เรียนรู้แนวทางการพัฒนาแบตเตอรี่ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในอนาคตของอาเซียน

เปิดฉากไทยเจ้าภาพ แบตเตอรี่อาเซียน ABTC 2025 พลังงานยุค​ใหม่​ สะอาด​ ปลอดภัย

ความปลอดภัยเป็น อุปสรรคสำคัญ

เมื่อมีการใช้แบตเตอรี่อย่างแพร่หลาย สิ่งที่ตามมาคือความกังวลด้านความปลอดภัยและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหลังสิ้นอายุการใช้งาน “ดร.พิมพา” เน้นย้ำว่า ความปลอดภัยเป็น "showstopper" หรืออุปสรรคสำคัญ ที่อาจทำให้การขับเคลื่อนด้านพลังงานสะอาดถดถอยลงได้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ขึ้น

ด้วยเหตุนี้ เครือข่ายความปลอดภัยแบตเตอรี่แห่งอาเซียน (ASEAN Battery Safety Network) จึงถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรก และเปิดตัวในงาน ASEAN Battery Technology Conference (ABTC 2025) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มในการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (best practice) และข้อกำหนดต่างๆ เช่น การลงทะเบียนแบตเตอรี่ การจัดเก็บ การสื่อสารการใช้งานที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการใช้งานผิดประเภทที่อาจนำไปสู่ความร้อนสูงหรือไฟไหม้ นอกจากนี้ยังรวมถึง การจัดการซากแบตเตอรี่หลังสิ้นอายุไข (end-of-life management) ซึ่งเป็นประเด็นด้านความยั่งยืนที่สมาคมให้ความสำคัญอย่างมาก

“ประเทศในอาเซียนที่แสดงความก้าวหน้ามากที่สุดในด้านกฎระเบียบและงานวิจัยคือ สิงคโปร์ ด้วยระบบการทำงานที่เป็นระเบียบและการประสานงานที่ดี อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่ใหญ่กว่า และจำเป็นต้องพัฒนามาตรฐานให้ทันท่วงที” ดร.พิมพา กล่าว

ขณะที่ "ดร.ซิง ยาง เชียม" (Sing Yang Chiam) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค SBC และตัวแทนเครือข่ายความปลอดภัยแบตเตอรี่อาเซียน (ASEAN Battery Safety Network: ABSN) กล่าวว่า การจัดตั้งเครือข่ายความปลอดภัยแบตเตอรี่ของอาเซียนถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของภูมิภาค ในการกำหนดมาตรฐานและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับความปลอดภัยของแบตเตอรี่ รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมืออย่างบูรณาการ

ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในอาเซียนเติบโตอย่างรวดเร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความสำคัญของภูมิภาคอาเซียนในการทำงานร่วมกับพันธมิตร องค์กรมาตรฐานระดับโลก และหน่วยงานกำหนดมาตรฐานในห่วงโซ่คุณค่าของแบตเตอรี่

เปิดฉากไทยเจ้าภาพ แบตเตอรี่อาเซียน ABTC 2025 พลังงานยุค​ใหม่​ สะอาด​ ปลอดภัย

สถานะไทยในอาเซียน และความท้าทาย

ในด้านมาตรฐาน “ดร.พิมพา” ชื่นชมการทำงานของหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ที่พยายามผลักดันมาตรฐานสากลออกมาเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดที่สำคัญคือ

  • มาตรฐานแบตเตอรี่ส่วนใหญ่ยังเป็นแบบสมัครใจ ไม่ได้มีการบังคับใช้ทั้งหมด
  • ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ มีเพียง 2-3 แห่งในขณะที่มีความต้องการสูง ส่งผลให้คิวยาวและมีค่าใช้จ่ายสูง
  • การบังคับใช้กฎหมายยังเป็นปัญหา แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่บังคับใช้มาตรฐานแล้ว เช่น Power Bank ที่ไม่มี มอก. ก็ยังพบเห็นได้ทั่วไป ทำให้ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรฐานต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ล่าช้ากว่า

อนาคตและเครือข่ายระดับภูมิภาค

TESTA มีเป้าหมายที่จะสร้างแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งสำหรับการรวมตัวของบุคลากรในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนความรู้ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

“ดร.พิมพา” มองว่า ประเทศไทยและอาเซียนมีความได้เปรียบด้านทรัพยากรและศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรม EV และแบตเตอรี่อย่างยั่งยืน หากมีการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

ABTC เวทีสร้างความร่วมมืออาเซียน

ABTC 2025 มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ที่สำคัญ 5 ฉบับ เพื่อเสริมสร้างความเป็นพันธมิตร และความร่วมมือระหว่างประเทศ ได้แก่

1. Amphenol – Swap2Gether

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง Amphenol Communications Solutions และเครือข่าย Swap2Gether ในการพัฒนาและใช้ชิ้นส่วนสำคัญสำหรับ แบตเตอรี่มาตรฐานแบบสับเปลี่ยนได้ในยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก

2. ความร่วมมือด้านการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (BESS) ระดับกริดในอาเซียน

ความร่วมมือระหว่าง Singamas Container Holdings Limited และ Zhejiang Narada Power Source เพื่อขยายการพัฒนาและติดตั้งระบบ BESS ระดับกริด ทั่วอาเซียน ผสานรวมเทคโนโลยี แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและติดตั้งระบบ เพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ ประสิทธิภาพความปลอดภัย และเสถียรภาพของกริด

3. พันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานยูโร-กริด

การจัดตั้ง แพลตฟอร์ม Sineuro ซึ่งผสานนวัตกรรมจากเอเชียและความเชี่ยวชาญจากยุโรป เพื่อพัฒนา โซลูชันการกักเก็บพลังงานอัจฉริยะ โดยมุ่งขยายโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและเร่งการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดของยุโรป พันธมิตรประกอบด้วย NextGEN Energy, Sineng Electric, Green Tenaga, Half Bridge Automation

4. ข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ Hytzer Energy – INV Corporation

ความร่วมมือในการพัฒนาและนำ เทคโนโลยีแบตเตอรี่โซลิดสเตต (solid-state) สู่เชิงพาณิชย์ โดยใช้ความเชี่ยวชาญและทรัพยากรร่วมกัน เพื่อสร้าง โซลูชันแบตเตอรี่ที่ปลอดภัยและมีความจุสูง สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่ Net Zero

5. NBRI – NMB: เสริมสร้างนวัตกรรมแบตเตอรี่ระดับภูมิภาค

ความร่วมมือระหว่าง NBRI และ NanoMalaysia เพื่อพัฒนา ระบบนิเวศแบตเตอรี่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม การทดสอบและกำหนดมาตรฐาน รวมถึงการศึกษาและการฝึกอบรมในภาคอุตสาหกรรม

ABTC 2025​ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะเห็นประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตนี้ และ TESTA เป็นตัวอย่างของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ วิชาการ และเอกชน เพื่อสร้างระบบนิเวศของเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน