เปลี่ยนกำแพงภาษีสหรัฐ–ยุโรป สู่โอกาส เร่งไทยผู้นำ EV และแบตเตอรี่หมุนเวียน

เปลี่ยนกำแพงภาษีสหรัฐ–ยุโรป สู่โอกาส เร่งไทยผู้นำ EV และแบตเตอรี่หมุนเวียน

เปลี่ยนกำแพงภาษี EV ของสหรัฐฯ และยุโรปให้เป็นโอกาสในการผลักดันประเทศสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในภูมิภาค ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการรีไซเคิลและนำแบตเตอรี่ใช้แล้วกลับมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

KEY

POINTS

  • กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้เปลี่ยนกำแพงภาษี EV ของสหรัฐฯ และยุโรปให้เป็นโอกาสในการเร่งผลักดันประเทศสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในภูมิภาค
  • เร่งสร้างความเข้มแข็งให้ห่วงโซ่อุปทาน EV โดยการตั้งโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่แห่งแรกในประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างความสามารถในการผลิตเอง
  • ผลักดันกฎหมายจัดการของเสียอุตสาหกรรมฉบับใหม่ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนผ่านการรีไซเคิลและนำแบตเตอรี่ใช้แล้วกลับมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

งานประชุมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของอาเซียน (ASEAN Battery Technology Conference) ปี 2025 หรือ ABTC 2025 ระหว่าง​วันที่​ 27-29 สิงหาคม จ.ภูเก็ต ได้รับการเลือกให้เป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นการประชุมครั้งที่ 3 ต่อจาก ครั้งที่ 2 ที่สิงคโปร์ และครั้งแรกที่อินโดนีเซีย โดยปีนี้สมาคมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานไทย (TESTA) ​เป็นเจ้าภาพ และมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 320 คนจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวเปิดการประชุม เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยและเอเชียในการเปลี่ยนผ่านความท้าทายจากมาตรการภาษีการค้าให้กลายเป็นโอกาสในการก้าวขึ้นเป็น ‘ผู้นำการเปลี่ยนผ่านสีเขียว’ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ด้วยการเสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าระดับภูมิภาค
 

สหรัฐ-ยุโรป จับตามาตรการภาษี EV

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ กล่าวว่า แม้สหรัฐอเมริกาและยุโรปจะจับตามาตรการภาษี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV อย่างใกล้ชิด แต่เอเชียควรเปลี่ยนอุปสรรคเหล่านี้ให้เป็นตัวเร่ง โดยประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ และ Green EV (รถพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) ซึ่งได้เร่งพัฒนาชิ้นส่วน EV การผลิตแบตเตอรี่เซลล์ และอุตสาหกรรมรีไซเคิล

จุดเปลี่ยนสำคัญคือการจัดตั้งโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ Muda EV ซึ่งเป็นแห่งแรกในประเทศ ถือเป็นการเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ประเทศไทยสามารถสร้างแบตเตอรี่จากระดับเซลล์ได้เอง ไม่ใช่แค่การนำเข้าเซลล์มาประกอบโมดูลอีกต่อไป ซึ่งเป็นการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นผู้นำที่แท้จริงด้านการขับเคลื่อนไฟฟ้าและพลังงานสะอาดในภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังได้มีการออกพระราชบัญญัติการจัดการของเสียอุตสาหกรรมฉบับใหม่ เพื่อควบคุมและนำแบตเตอรี่รถยนต์ และขยะอิเล็กทรอนิกส์กลับมาใช้ใหม่อย่างเป็นระบบและเป็นวงจร พร้อมสนับสนุนการใช้แบตเตอรี่มือสอง (second life batteries) เพื่อเก็บพลังงานสำหรับบ้าน โรงงาน หรือบริษัทต่างๆ เป็นการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้ากับผู้ประกอบการไทย สร้างมูลค่าในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การจัดการ การรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ใหม่

3 เสาหลัก พาอุตสาหกรรมโตยั่งยืน

นายพงศ์พล ย้ำว่า ไม่มีประเทศใดสามารถทำเรื่องนี้ได้เพียงลำพัง จึงจำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกับพันธมิตรจากสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ โดยได้เสนอ 3 หลักการสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่

• ความโปร่งใส : มาตรฐานที่ชัดเจน การปฏิบัติตาม RBC การแข่งขันที่เป็นธรรม
• นวัตกรรม : การลงทุนในเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่แข็งแกร่ง ชาญฉลาด และยั่งยืนยิ่งขึ้น
• ความเป็นวงจร (Circularity) : การมองว่าของเสียไม่ใช่ภาระ แต่เป็นทรัพยากร

การประชุม ABTC 2025 ครั้งนี้เป็นมากกว่าการแลกเปลี่ยนทางเทคนิค แต่เป็นเวทีในการกำหนดทิศทาง หากเอเชียสามารถกำหนดมาตรฐานร่วมกัน เสริมสร้างห่วงโซ่มูลค่าระดับภูมิภาค และมุ่งมั่นต่อเศรษฐกิจหมุนเวียน เอเชียจะไม่เพียงแต่ตามทันวิวัฒนาการ EV โลก แต่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำ

นายพงศ์พล ปิดท้ายว่า แบตเตอรี่ไม่ได้วัดที่ขนาด แต่อยู่ที่ประจุไฟฟ้า เช่นเดียวกับเอเชียที่ไม่ได้ตัดสินกันที่พรมแดน แต่ด้วยพลังงานร่วมกันและเป้าหมายร่วมกันของเรา ดังนั้น ขอให้อาเซียนเดินหน้าไปด้วยกัน เปลี่ยนกำแพงภาษีให้เป็นโอกาส ของเสียให้เป็นมูลค่า และความทะเยอทะยานให้เป็นการกระทำ" พร้อมประกาศเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ