'ยุคใหม่ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง' ผสานดิจิทัลและคนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคที่ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การก่อสร้างยุคใหม่ต้องฉลาดขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บทความนี้เจาะลึกถึง 3 กลยุทธ์สำคัญที่จะนำพาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยและทั่วโลกไปสู่การเปลี่ยนแปลงดิจิทัลอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- อุตสาหกรรมก่อสร้างกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเพื่อรับมือกับความท้าทายระดับโลกและมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
- กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงคือการสร้างความร่วมมือและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เพื่อผลักดันนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม
- การลงทุนพัฒนาบุคลากรเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากอุตสาหกรรมยังคงต้องขับเคลื่อนด้วยคน แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมาก
- การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรากฐานของความสำเร็จในยุคดิจิทัล เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ปลอดภัย และเข้าถึงได้ตลอดวงจรโครงการ
โลกกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ใหญ่หลวง ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเติบโตของประชากร และความต้องการพลังงานและทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่เป็นรากฐานทางกายภาพของสังคม อุตสาหกรรมก่อสร้างและวิศวกรรมจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์และจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดประสิทธิภาพแบบเดิมๆ ชี้ให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายดังกล่าวได้อย่างเต็มที่
แต่ก็ยังมีข่าวดี เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้างกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางดิจิทัล โดยมีรายงานจากทีม Global Leaders in Construction Management ของ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่ได้เผยแพร่บทความเรื่อง "Insights into the Global E&C Industry’s Digital Revolution" ซึ่งได้รวบรวม 10 กลยุทธ์สำคัญเพื่อนำพาอุตสาหกรรมไปสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบรรดากลยุทธ์เหล่านั้น มี 3 ประเด็นหลักที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกัน การลงทุนในบุคลากร และการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิวัติครั้งนี้
1. ความร่วมมือและพันธมิตร กุญแจสู่นวัตกรรม
การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างผู้ให้บริการเทคโนโลยี ซัพพลายเออร์ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมเป็นตัวเร่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ เข้าถึงความเชี่ยวชาญ ทรัพยากร และเครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้น สามารถพัฒนานวัตกรรมร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนของอุตสาหกรรม ตัวอย่างที่น่าสนใจคือโครงการ Dubai Metro Red Line Extension ที่ใช้โมเดลความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีการนำ Building Information Modelling (BIM) และระบบการส่งมอบโครงการแบบบูรณาการมาใช้ จนสามารถก่อสร้างได้เร็วกว่ากำหนดและบรรลุมาตรฐานความยั่งยืนที่สูง
ข้อมูลจาก สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าสำหรับประเทศไทยนั้น การสร้างพันธมิตรเชิงรุกเริ่มเห็นได้ชัดในหลายโครงการ เช่น การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และ สมาร์ทซิตี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย Thailand 4.0
2. พัฒนาบุคลากร หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง
แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมาก แต่อุตสาหกรรมก่อสร้างจะยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยผู้คน การลงทุนในโครงการฝึกอบรม การให้คำปรึกษา และการส่งเสริมความหลากหลาย จะช่วยสร้างวัฒนธรรมที่เปิดรับนวัตกรรมและปรับตัวได้ดี
ข้อมูลจาก กรมโยธาธิการและผังเมือง ระบุว่าในประเทศไทย ภาครัฐและเอกชนต่างเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรมโยธาธิการและผังเมือง และ สถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ ที่ได้เปิดหลักสูตรฝึกอบรมด้านการจัดการและเทคโนโลยีการก่อสร้าง รวมถึงมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการทำงาน เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรให้พร้อมสำหรับโครงการในอนาคต
3. การจัดการข้อมูล รากฐานของความสำเร็จ
ในยุคที่การก่อสร้างและระบบโครงสร้างพื้นฐานถูกเชื่อมโยงกันด้วยระบบดิจิทัล ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกสร้างขึ้น การจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การนำกรอบการทำงานที่เป็นมาตรฐานมาใช้จะช่วยให้ข้อมูลมีความถูกต้อง ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดวงจรชีวิตของโครงการ
ในต่างประเทศ มีนโยบายที่พัฒนาขึ้นเพื่อการจัดการข้อมูลในภาคโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะ เช่น "Secure Connected Places Cyber Security Playbook" ของสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นคู่มือช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นรักษาความปลอดภัยของระบบที่เชื่อมต่อกัน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลในระดับท้องถิ่น และส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับชาติ
การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างในการบรรลุการเติบโตที่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับผู้นำทั้งในภาครัฐและเอกชนที่จะต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลง อันได้แก่ ผู้คน กระบวนการ และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างอนาคตของการก่อสร้างที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
ที่มา : มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย , กรมโยธาธิการและผังเมือง , สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ







