ปมน้ำท่วมน่านทุกปี ไม่ใช่แค่ฝน แต่คือผลจากมนุษย์ ภูมิศาสตร์ ระบบกักเก็บน้ำ

จังหวัดน่านประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากแทบทุกปี แม้จะมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ภาคเหนือ ฝนตกหนักสุดในรอบ 1,000 ปี พายุ “วิภา” ทำให้ฝนตกมากกว่า 400 มม. ในหลายพื้นที่
KEY
POINTS
- จังหวัดน่านประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากแทบทุกปี แม้จะมีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ
- แม้ไทยจะหลุดจากกลุ่มประเทศเสี่ยงสูงใน Climate Risk Index 2025 (จากอันดับ 9 เป็น 30) แต่พายุและอุทกภัยยังส่งผลกระทบหนัก
- ภาคเหนือ ฝนตกหนักสุดในรอบ 1,000 ปี พายุ “วิภา” ทำให้ฝนตกมากกว่า 400 มม. ในหลายพื้นที่
- ผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ฝนไม่ตกตามฤดูกาล มีความถี่และรุนแรงเพิ่มขึ้น
- ต้องมี แผนจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมทั้งระดับชุมชนและระดับประเทศ
- ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ – พัฒนาระบบระบายน้ำ – วางผังเมืองให้รับมือกับภัยพิบัติ
"จังหวัดน่าน" หนึ่งในจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่มีความสวยงามทางธรรมชาติ อุดมไปด้วยป่าไม้และลำน้ำหลายสาย โดยเฉพาะแม่น้ำน่านซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญของชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จังหวัดน่านต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมเกือบทุกปี สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
คำถามสำคัญคือ ทำไมน่านถึงเผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซากเช่นนี้ และปัจจัยหลักมาจากอะไรบ้าง?
แม้ประเทศไทยจะหลุดจากกลุ่ม 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดในดัชนี Climate Risk Index 2025 คือมีสถานะที่ดีขึ้น โดยจากอันดับ 9 มาอยู่อันดับ 30 แต่ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ปีนี้ประเทศไทยยังได้รับผลกระทบหนักจาก พายุและอุทกภัย
มรสุมพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ
วันนี้ (26 กรกฎาคม 2568) ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ได้ออกประกาศฉบับที่ 2 (97/2568) เตือนประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนให้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักมากและฝนที่ตกสะสม ระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2568 พื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักมากบางแห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา และจังหวัดน่าน
สาเหตุของสถานการณ์ฝนตกหนักในครั้งนี้มาจาก หย่อมความกดอากาศต่ำที่ปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย นอกจากนี้ ร่องมรสุมยังคงพาดผ่านตอนบนของภาคเหนือ และ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย
ประกาศเตือนภัยระบุว่า ฝนที่ตกหนักมากและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมถึงพื้นที่ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ระดับฝนหนักสุดรอบ 1 พันปี
"รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์" ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เผยสถานการณ์ฝนตกหนักจากพายุ "วิภา" (WIPHA) ที่ส่งผลให้หลายพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.น่าน และ จ.แพร่ เผชิญน้ำท่วมรุนแรงกว่าทุกปี ข้อมูลจากกรมชลประทานระบุว่า ระหว่างวันที่ 23–24 กรกฎาคม หลายพื้นที่มีปริมาณฝนเกิน 300 มม. และบางแห่งเกิน 400 มม. โดยเฉพาะที่ อำเภอปัว จ.น่าน วัดได้ 427 มม.
“ถือว่าเป็นระดับฝนที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบกว่า 1,000 ปี ชาวบ้านในหลายพื้นที่ ไม่เคยเจอกับน้ำท่วมรุนแรงขนาดนี้มาก่อน ระดับน้ำท่วมที่น่านและแพร่สูงกว่าปี 2554 อย่างชัดเจน”
ภาวะโลกร้อน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามคือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้สภาพอากาศทั่วโลกมีความแปรปรวน ฝนตกไม่ตามฤดูกาล มีความถี่และความรุนแรงของฝนเพิ่มขึ้น ภัยธรรมชาติเหล่านี้จะรุนแรงขึ้นหากไม่มีการจัดการน้ำที่ดีและยั่งยืน
เพจ "ฝ่าฝุ่น" ของ "ดร.เจน ชาญณรงค์" ผู้ริเริ่มและเป็นผู้ดำเนินการหลัก ระบุเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่า ในขณะที่เรากำลังตกใจกับสภาพน้ำท่วมใน จ.น่าน ทำลายสถิติปี 2549 กับ 2567 อยากจะให้เห็นว่าใน "Western Pacific กับ South China Sea นั้นมีพายุหมุนอีกสามลูกก่อตัวขึ้น แต่โชคดีที่มีทิศทางไม่เข้าไทย
"แต่ก็อยากให้เราคิดว่า ถ้าไม่โชคดีแบบนี้ แค่อีกเพียงหนึ่งลูกกลายเป็นไต้ฝุ่นแล้วมุ่งหน้าภาคเหนือตอนบนมาทาง น่าน แพร่ พะเยา อีก จะทำอย่างไร?"
เราอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อน และภัยที่จะกระทบคนไทยมากที่สุดคือภัยจากน้ำเหวี่ยงคือพายุเข้า น้ำท่วมหนัก สถิติในอดีตนั้นกำลังค่อยๆถูกทำลาย เมืองที่เคยปลอดภัยต่อไปจะเริ่มเดือดร้อนสาหัสขึ้นเรื่อยๆ
จำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำ เริ่มจากระดับชุมชน มายังระดับประเทศ โครงการที่เราเคยต่อต้าน เพราะในอดีตดูไม่คุ้มค่า จะต้องมาปัดฝุ่นกันใหม่ และยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก การออกแบบสิ่งกีดขวางลำน้ำ ต้องทำอย่างถูกต้อง และพร้อมสำหรับรับมือกับภาวะน้ำหลาก
การจัดการน้ำที่ยังไม่ครอบคลุม
แม้ว่ารัฐบาลและองค์กรท้องถิ่นจะมีแผนรับมือกับน้ำท่วม เช่น การสร้างพนังกั้นน้ำ การพัฒนาแก้มลิง หรือโครงการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แต่หลายโครงการยังไม่มีการบูรณาการอย่างเป็นระบบ และขาดการมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับฐานราก การแก้ไขที่ไม่ต่อเนื่องจึงทำให้ปัญหายังคงเกิดซ้ำ
บุกรุกป่าไม้ ทำเกษตรบนพื้นที่ลาดชัน
จากข้อมูลที่ 'กรุงเทพธุรกิจ' สำรวจ พบว่า แม้ธรรมชาติจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินโดยมนุษย์ จังหวัดน่านในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาเผชิญกับการบุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ซึ่งมักทำบนพื้นที่ลาดชัน ส่งผลให้พื้นที่ป่าต้นน้ำถูกทำลาย พื้นที่ป่าที่เคยช่วยดูดซับน้ำฝนถูกแทนที่ด้วยพื้นที่โล่งที่ไม่มีพืชพรรณปกคลุม ทำให้เมื่อฝนตกหนัก น้ำจะไหลบ่าอย่างรวดเร็ว ไม่มีการซึมลงดิน
จากข้อมูลของกรมป่าไม้ เมื่อปี 2560 จังหวัดน่านสูญเสียพื้นที่ป่ากว่า 1.5 ล้านไร่ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร การสูญเสียพื้นที่ป่าเช่นนี้ทำให้สมดุลทางธรรมชาติเสียหายและเพิ่มความรุนแรงของน้ำท่วม
การขยายตัวของชุมชนและเมือง
นอกจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ประชากรศาสตร์ก็มีผลเช่นกัน โดยรายงานสถานการณ์ทางสังคมจังหวัดน่าน ปี 2565 ของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดน่าน ระบุว่า จำนวนชุมชนในเขตเมือง โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองน่าน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงการขยายตัวของเมืองอย่างชัดเจน
การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) รวมถึงรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น บ่งชี้ถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจของเมือง และการเคลื่อนย้ายประชากรจากพื้นที่ชนบทเข้าสู่เขตเมืองมากขึ้น
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งการขยายตัวของเมือง คือการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดน่าน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาและขยายตัวของชุมชนเมืองอย่างรวดเร็ว
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บ้านเรือน ถนน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำหรือริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นบริเวณเสี่ยงต่อน้ำท่วม การก่อสร้างโดยไม่คำนึงถึงระบบระบายน้ำ หรือแม้แต่การถมที่ดินริมฝั่งแม่น้ำทำให้แม่น้ำตื้นเขินและแคบลง ส่งผลให้การระบายน้ำเป็นไปได้ยากขึ้นในช่วงฤดูฝน
เมื่อพิจารณาทุกปัจจัยร่วมกัน จะเห็นได้ว่าวิกฤติน้ำท่วมที่จังหวัดน่านไม่ได้มีสาเหตุจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “การผสมผสาน” ของหลายปัจจัย ทั้งสิ่งแวดล้อม ภูมิประเทศ การใช้ที่ดินที่ไม่เหมาะสม การขยายตัวของเมือง และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทั้งภาครัฐ ชุมชน และภาคเอกชน ในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พัฒนาระบบระบายน้ำ และออกแบบเมืองให้รับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ







