วิกฤติโลกเดือด! 'เครือข่ายลูกโลกสีเขียว' แสดงพลัง หนุนไทยเร่งปรับตัวผนึกกำลังรับมือภัยพิบัติ

"ปตท." มอบรางวัล "ลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 23" ร่วมแสดงพลัง "ปรับเปลี่ยน เรียนรู้ สู่ความยั่งยืน" โดยเวทีเสวนาถกประเด็นร้อน "การปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" มองวิกฤติโลกเดือด! ภัยคุกคามเร่งด่วนที่ไทยต้องรับมือ เผยไทยเสี่ยงภัยพิบัติแม้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกแค่ 1% ของโลก แนะเร่งปรับตัว สร้างภูมิคุ้มกันชุมชน
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการสถาบันลูกโลกสีเขียว พร้อมด้วย นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คณะกรรมการรางวัลลูกโลกสีเขียว และเครือข่ายลูกโลกสีเขียวทั่วประเทศ ร่วมแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว ในพิธีมอบรางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 23 ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "ปรับเปลี่ยน เรียนรู้ สู่ความยั่งยืน"
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการสถาบันลูกโลกสีเขียว กล่าวว่า ท่ามกลางสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและทวีความรุนแรง ทั้ง ภัยพิบัติ ภาวะโลกร้อน และรวมถึงความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติสถาบันลูกโลกสีเขียวมุ่งสร้างและส่งเสริมการเรียนรู้ ปรับตัวอย่างมีภูมิปัญญาด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติให้กลับคืนมาอย่างสมดุล
พร้อมมอบรางวัลอันทรงเกียรติและเชิดชูแก่ชุมชนหรือบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่าน "รางวัลลูกโลกสีเขียว" เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์ไปยังชุมชนอื่นๆ และคนรุ่นต่างๆ ซึ่งจะถักทอเป็นเครือข่ายความร่วมมือเพื่อทำให้โลกยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
"ขอแสดงความชื่นชมกับทุกชุมชนและบุคคลที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ทุกคนคือแบบอย่างของการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เข้าใจธรรมชาติ และมีจิตวิญญาณของการแบ่งปัน เป็นพลังชุมชนที่ขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าไปอย่างยั่งยืน" ดร.สุเมธ กล่าว
นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คณะกรรมการรางวัลลูกโลกสีเขียว และเครือข่ายลูกโลกสีเขียวทั่วประเทศ กล่าวว่า ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติ มีพันธกิจสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมภายใต้เป้าหมายความยั่งยืน มุ่งลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม พัฒนานวัตกรรมพลังงานสะอาด และร่วมมือกับชุมชนในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
"สิ่งที่เราเชื่อมาโดยตลอดคือ พลังจากชุมชน เพราะในชุมชนมีทั้งภูมิปัญญา ความเข้าใจ และความผูกพันกับธรรมชาติที่ลึกซึ้ง ความสำเร็จในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจึงเริ่มจากรากฐานนี้ รางวัลลูกโลกสีเขียวคือเครื่องยืนยันว่าพลังเล็กๆ จากแต่ละชุมชนสามารถรวมกันเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศให้มีความยั่งยืนได้" นายวุฒิกร กล่าว
สำหรับ "รางวัลลูกโลกสีเขียว" ถือกำเนิดขึ้นในปี 2542 และดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเป็นกำลังใจยกย่องและเผยแพร่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของบุคคล กลุ่มคน และเยาวชน ให้เป็นที่รับรู้ของสังคมในวงกว้าง ปัจจุบันมีผลงานรางวัลลูกโลกสีเขียวรวมทั้งสิ้น 858 ผลงาน มีเครือข่ายลูกโลกสีเขียว กว่า 5,000 คนทั่วประเทศ
โดยพิธีมอบ รางวัลลูกโลกสีเขียว ครั้งที่ 23 นี้ มีผลงานที่ได้รับรางวัลฯ รวม 16 ผลงาน 4 ประเภทรางวัล ประกอบด้วย ประเภทชุมชน 6 ผลงาน ประเภทกลุ่มเยาวชน 4 ผลงาน ประเภทสิปปนนท์ เกตุทัต รางวัลแห่งความยั่งยืน 3 ผลงาน และประเภทงานเขียน 3 ผลงาน
เวทีเสวนาในหัวข้อ "การปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" มีวิทยากรร่วมให้ความรู้ อาทิ นางสาวอุมา ศรีสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ภารกิจของกรมฯ คือการขับเคลื่อนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการเพิ่มขีดความสามารถของภาคส่วนต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว กำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคโลกร้อนเข้าสู่ยุคโลกเดือด จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยาโลกพบว่า อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเกิน 1.55 องศาเซลเซียสจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังนั้น เราทุกคนต้องช่วยกันไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เพราะหากเกินจุดนี้ไปแล้วจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก และจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ถือว่าเกินเยียวยาหากจะกลับมาสู่สภาพเดิม
"อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้โลกรวน กระทบทุกภาคส่วน แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 1% เมื่อเทียบกับทั้งโลก แต่เราไม่ได้จะได้รับผลกระทบเพียง 1% เราจึงต้องตั้งรับและปรับตัว โดยจุดที่น่าเป็นห่วงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นคือระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นบริเวณพื้นที่ชายฝั่งกว่า 3 พันกิโลเมตร ซึ่งมีประชาชน 11 ล้านคนในพื้นที่เสี่ยง และเมื่อภัยมาถึงจะกระทบทุกภาคส่วน ทั้งเกษตร สาธารณสุข การท่องเที่ยว โดยกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีความยืดหยุ่นรองรับเพียงพอ" นางสาวอุมา กล่าวเสริม
ด้าน ดร.วิจารย์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเห็นได้ชัดเจนที่จังหวัดเชียงราย โดยช่วงต้นปีเกิดฝุ่น PM2.5 พอช่วงกลางปีกลับเกิดภัยพิบัติน้ำท่วม และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลายส่งผลกระทบหลายพื้นที่ เกิดขยะจำนวนมากที่คาดว่ามาจากเสื้อผ้า แม้จะพยายามใช้ถุงผ้าแต่ก็ยังใช้ไม่คุ้ม ซึ่งหากจะคุ้มต้องใช้ถึง 4,000 ครั้ง
ทั้งนี้ ในภูมิภาคอาเซียนเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ประเทศไทยเดิมถูกจัดอันดับให้มีความเสี่ยงผลกระทบเป็นอันดับ 9 ของโลก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 30 แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบ่งบอกว่าเรายังคงมีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น หากเรารู้เท่าทันความสูญเสียก็จะลดลง ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ถ้าไม่ช่วยกัน เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น 3 องศาเซลเซียส สัตว์ใหญ่จะได้รับผลกระทบถึง 40% ดังนั้น การปลูกป่าเพื่อช่วยดูดซับคาร์บอนและขายคาร์บอนเครดิตจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ
"ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียว เราต้องทั้งลดและอยู่กับมันให้ได้ ประเทศไทยปล่อยคาร์บอนปีละ 372 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า หากปลูกต้นไม้ 25% ในพื้นที่สีเขียว จะช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ราว 125 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่า หากทั่วโลกไม่ช่วยกันจะกระทบทั้งระบบเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และชุมชน" ดร.วิจารย์ กล่าวทิ้งท้าย
ภายในงานยังเปิดให้ผู้สนใจได้ร่วม "ชม" นิทรรศการผลงานรางวัลลูกโลกสีเขียวและการบรรยายพิเศษ "ช้อป" สินค้าคุณภาพจากชุมชนเครือข่ายลูกโลกสีเขียวทั่วประเทศ "เชื่อม" ร้อยเครือข่ายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเวทีเสวนาหลักและเวทีเสวนาลานภาค พร้อม "ชวน" ทำกิจกรรมเรียนรู้คุณค่าผลงานรางวัลลูกโลก สีเขียวตลอดงาน







