“วันสิ่งแวดล้อมโลก"หยุดเพิกเฉย เสียงเตือนจากธรรมชาติ

“วันสิ่งแวดล้อมโลก"หยุดเพิกเฉย เสียงเตือนจากธรรมชาติ

ทุกวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี โลกให้ความสำคัญกับ “วันสิ่งแวดล้อมโลก” (World Environment Day) ซึ่งเป็นวันแห่งการระลึกถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ

ที่หล่อเลี้ยงชีวิตทุกสรรพสิ่ง มีกิจกรรมรณรงค์เกิดขึ้นมากมาย คำขวัญปลุกใจถูกเผยแพร่ผ่านทุกช่องทางสื่อ กระทรวง ทบวง กรม และองค์กรท้องถิ่นต่างเร่งจัดกิจกรรม “สีเขียว” เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์

ทว่า ท่ามกลางการเฉลิมฉลองแต่กลับมี “ความเงียบ” ต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงโครงสร้างที่กำลังสะสมเรื้อรัง และขยายวงกว้างอย่างซับซ้อนมากขึ้นทุกวันซึ่งธรรมชาติได้ส่งเสียงเตือนให้ทุกคนได้รับรู้มาอย่างต่อเนื่อง 

เริ่มจาก ปัญหาในระดับโลก 1 ในปรากฏการณ์ที่สะท้อนวิกฤตธรรมชาติคือ “มหาสมุทรมืดลง” (Ocean Darkening) ซึ่งเป็นภาวะที่ความใสของน้ำทะเลลดลง โดยเฉพาะในมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก นักวิจัยจากหลายสถาบันพบว่า แสงแดดไม่สามารถส่องลึกลงในชั้นน้ำได้เหมือนเดิม เพราะตะกอน สารอินทรีย์ และมลพิษจากกิจกรรมบนบกไหลลงสู่ทะเลมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งเป็นฐานของห่วงโซ่อาหารทะเล

  สิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมากอาศัย “แสง” เป็นตัวกำหนดจังหวะของชีวิต เช่น การล่าเหยื่อ การสืบพันธุ์ และการอพยพ หากแสงลดลง สัตว์ทะเลต้องปรับตัว บางชนิดย้ายขึ้นผิวน้ำมากขึ้นเพื่อให้ได้รับแสง แต่ก็ต้องเผชิญความเสี่ยงจากนักล่ามากขึ้น วัฏจักรที่เคยสมดุลจึงเริ่ม “เสียศูนย์” และอาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ในบางระบบนิเวศ

ผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่ระบบนิเวศ แต่ยังเชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศ เพราะมหาสมุทรเป็นตัวดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลักของโลก เมื่อการสังเคราะห์แสงลดลง ความสามารถของทะเลในการดูดซับคาร์บอนก็ลดลงเช่นกัน นี่คือวงจรย้อนกลับของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่เร่งให้โลก “ร้อนเร็วขึ้น” อย่างไม่อาจควบคุมได้

สัญญาณต่อมาคือ ขยะทะเล แม้จะมีการรณรงค์ลดพลาสติกใช้ครั้งเดียวมากว่าสิบปี แต่ขยะทะเลของไทยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งระบุว่า ประเทศไทยมีขยะทะเลรั่วไหลเฉลี่ยกว่า 50,000 ตันต่อปี ส่วนใหญ่คือถุงพลาสติก หลอด แก้วพลาสติก และบรรจุภัณฑ์จากอาหารเดลิเวอรี

สัตว์ทะเลจำนวนมากกลืนกินขยะเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นอาหาร ปลาบางชนิดเมื่อผ่าท้องพบพลาสติกเต็มกระเพาะ เต่าทะเลติดแห และวาฬตายเกยตื้นพร้อมเศษพลาสติกนับร้อยชิ้นในกระเพาะอาหาร นี่คือผลสะท้อนของระบบจัดการขยะที่ “เน้นปลายทาง” แต่ไม่ควบคุมที่ต้นทาง และยังไม่มีการจัดเก็บขยะชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการลักลอบทิ้งของเสียอุตสาหกรรมในระดับที่น่าวิตก กรณีโรงงานรีไซเคิลในจังหวัดนครปฐมและฉะเชิงเทรา ที่พบการฝังกลบกากเคมีโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

     เช่นเดียวกับ กรณีแม่น้ำกกในภาคเหนือที่พบสารหนูและตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน เป็นเพียงหนึ่งในหลายสายธารที่ป่วยหนักจากการปล่อยน้ำเสียโดยไร้การควบคุมน้ำเสียจึงไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง เกษตรกรที่ใช้น้ำปลูกพืชจึงได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ “ช่องโหว่” ของระบบตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมายที่ยังล่าช้า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปริมาณการกำจัดกาก และสถานะของแหล่งกำจัดจำนวนมากไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ จนเกิดข้อสงสัยว่า “มีอะไรที่ถูกซ่อนอยู่” เมื่อระบบบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ พฤติกรรมลักลอบทิ้งจึงกลายเป็น “ต้นทุนที่ถูกกว่า” สำหรับผู้ประกอบการบางกลุ่ม

เช่นเดียวกับ กรณีแม่น้ำกกในภาคเหนือที่พบสารหนูและตะกั่วเกินค่ามาตรฐาน เป็นเพียงหนึ่งในหลายสายธารที่ป่วยหนักจากการปล่อยน้ำเสียโดยไร้การควบคุม การตรวจสอบพบว่าแหล่งกำเนิดหลักมาจากอุตสาหกรรมขนาดกลางและเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวที่ใช้สารเคมีเข้มข้น เมื่อไม่มีระบบบำบัด น้ำเสียจึงไหลลงสู่แม่น้ำโดยตรง เกษตรกรที่ใช้น้ำปลูกพืชจึงได้รับผลกระทบโดยไม่รู้ตัว

     อีกสัญญาณคือปัญหาที่พบในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัญหาที่พบในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปลายเดือนพ.ค.2568 ภาพ “ปลาทับทิมน็อกน้ำ” ตายยกกระชัง กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกครั้ง สาเหตุหลักมาจากปริมาณน้ำเพิ่มสูง ไหลเชี่ยว ขุ่นแดง และมีตะกอนจำนวนมากจนออกซิเจนในน้ำลดลง ที่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาเผยว่า “ปีนี้ตายเยอะที่สุดในรอบ 10 ปี” และที่น่าเศร้าคือ ไม่มีความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบจากภาครัฐ แม้จะมีเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ แต่ก็ “ดูแล้วหายเงียบ” เช่นทุกปี

      ต่างกับกรณีปลาหมอคางดำ สัตว์น้ำต่างถิ่นที่ถูกมองว่าต่างเป็นภัยคุกคามต่อระบบนิเวศ ทั้งที่ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอจะฟันธงได้ว่า การแพร่พันธุ์เกิดขึ้นจากสาเหตุใด แต่กลับถูกนำเสนอในสื่อว่าเป็นภัยคุกคามระดับชาติ และพยายามหาผู้รับผิดอย่างเดียว แทนที่จะร่วมไม้ร่วมมือกันเร่ง “กำจัด” ดังเช่น ในหลายพื้นที่ ได้มีความพยายามกำจัดอย่างเป็นระบบผ่านการจับขาย หรือแปรรูปเป็นอาหารสัตว์

"ปัญหาสิ่งแวดล้อมไทยในวันนี้ ไม่ได้เกิดเพราะขาดความรู้ หรือเทคโนโลยี แต่เพราะขาดการจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหา ประชาชนไม่ต้องการคำขวัญ แต่ต้องการระบบจัดการของเสียที่เข้มงวด ระบบเตือนภัยน้ำเสียที่แม่นยำ และหน่วยงานที่ไม่หายตัวหลังดูงานจบ”

ขณะที่องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และภาคประชาชน ต้องกล้าทบทวนลำดับความสำคัญใหม่ เสียงดังจากบางกลุ่มอาจไม่สำคัญเท่าผลกระทบที่เกิดจริงกับชีวิตผู้คน

    สุดท้ายแล้ว ธรรมชาติไม่ได้สื่อสารผ่านเสียง แต่สื่อสารผ่าน “ผลกระทบ” ที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูด ทุกปลาที่ตายคือเสียงเตือน ทุกขยะที่ลอยในทะเลคือคำถาม และทุกแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำเสียคือคำประกาศว่า “เราไม่อาจรอได้อีกแล้ว” คำถามที่เหลือเพียงว่า “เมื่อไหร่” สังคมจะหยุดฟังคำขวัญ และเริ่มฟังธรรมชาติ ซึ่งปัญหาของสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน

“วันสิ่งแวดล้อมโลก"หยุดเพิกเฉย เสียงเตือนจากธรรมชาติ