วิกฤติข้ามแดน แม่น้ำกกปนเปื้อนเคมี ฝุ่นพิษ กรีนพีซจี้กรอบสิทธิสิ่งแวดล้อม

กรีนพีซ ประเทศไทย มูลนิธิบูรณะนิเวศ และภาคีในภูมิภาค เรียกร้องให้อาเซียนจัดตั้ง ASEAN Environmental Rights Framework (AER Framework) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
KEY
POINTS
- เหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ใกล้แม่น้ำกก ปล่อยสารพิษและโลหะหนักลงสิ่งแวดล้อมโดยไร้มาตรการควบคุม
- การเผาป่าเพื่อเกษตรอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด อ้อย ปาล์มน้ำมัน ทำให้เกิดฝุ่นพิษข้ามแดนทุกปี
- กรีนพีซ ประเทศไทย มูลนิธิบูรณะนิเวศ และภาคีในภูมิภาค เรียกร้องให้อาเซียนจัดตั้ง ASEAN Environmental Rights Framework (AER Framework) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
- “ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” เพื่อสร้างความยุติธรรมและความร่วมมือระหว่างประเทศ
- สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายระดับภูมิภาค 5 ประการ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความล้มเหลวของความร่วมมือระดับภูมิภาคได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ผ่านกรณีเหมืองแร่ทองคำและเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งตั้งอยู่ห่างชายแดนไทยเพียง 20 กิโลเมตร และใกล้แม่น้ำกกเพียง 2–3 กิโลเมตร การทำเหมืองในพื้นที่ดังกล่าวปราศจากการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ ปล่อยสารเคมีอันตรายและโลหะหนักลงสู่สิ่งแวดล้อม
ส่งผลให้ชาวบ้านในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ ปัญหาผิวหนัง และโรคเรื้อรังจากการสะสมของสารพิษ ขณะที่ภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว—รายได้หลักของชุมชน—ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง นี่คือภาพสะท้อนของช่องว่างในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมแบบข้ามพรมแดนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพหรือกลไกบังคับใช้ร่วมกันในระดับภูมิภาค
ในขณะเดียวกัน วิกฤตฝุ่นพิษข้ามพรมแดนจากการเผาป่าเพื่อเกษตรอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น การปลูกข้าวโพด อ้อย และปาล์มน้ำมัน ก็ยังคงสร้างวิกฤต PM2.5 ซ้ำซากในภาคเหนือและภาคใต้ของไทยทุกปี กระทบต่อสุขภาพประชาชน เศรษฐกิจการท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตโดยรวม
เพื่อรับมือกับปัญหาเหล่านี้ กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิบูรณะนิเวศ และภาคีเครือข่ายในภูมิภาค ได้ร่วมกันเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนเร่งผลักดัน “กรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Environmental Rights Framework – AER Framework) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อสร้างกลไกการคุ้มครองสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง และตอบสนองต่อวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนและความไม่เป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
เส้นแบ่งพรมแดนไม่สามารถหยุดยั้งมลพิษ
รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์ นักรณรงค์ด้านอาหารและป่าไม้จากกรีนพีซ ประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวแทนจากประเทศไทยที่เข้าร่วมเวทีคู่ขนานของภาคประชาสังคม (ASEAN Peoples' Forum) กล่าวว่า อาเซียนไม่สามารถเพิกเฉยต่อเสียงของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดนได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นควันที่ลอยข้ามมาจากการเผาป่าในประเทศเพื่อนบ้าน หรือน้ำที่ปนเปื้อนสารเคมีจากเหมืองในรัฐฉานที่ไหลลงแม่น้ำกกเข้าสู่ประเทศไทย
เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดว่า เส้นแบ่งพรมแดนไม่สามารถหยุดยั้งมลพิษที่กระทบชีวิตผู้คนได้ ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนต้องนำหลักการ ‘ผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้รับผิดชอบ’ มาใช้จริง เพื่อสร้างกลไกความรับผิดชอบต่อธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน และสร้างความเป็นธรรมให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคในการปกป้องสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน”
ปากเหววิกฤตสิ่งแวดล้อม
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า ภูมิภาคอาเซียนกำลังยืนอยู่บนปากเหวของวิกฤตสิ่งแวดล้อมและสุขภาพครั้งใหญ่ จากการเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และการทำเหมืองแร่ที่ไร้การควบคุม หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางอย่างจริงจัง ปัญหาเหล่านี้อาจบานปลายจนกลายเป็นหายนะที่ไม่มีทางเยียวยาได้ในอนาคต
"ถึงเวลาแล้วที่อาเซียนต้องยึดแนวทางขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งได้วางหลักการไว้ชัดเจนมานานกว่า 30 ปี ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและมลพิษ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และได้รับความยุติธรรมที่รัฐต้องรับรองตามกฎหมาย การเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทไม่เพียงแต่จะสร้างความโปร่งใสในสังคม แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาประเทศในภูมิภาคนี้ไปสู่การพัฒนาที่มั่นคง ยั่งยืน และทำให้ผู้คนในอาเซียนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยอย่างแท้จริง"
สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายระดับภูมิภาคต่อผู้นำอาเซียน
1. ส่งเสริมความมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจในภูมิภาค
กระชับและตรวจสอบความร่วมมือธุรกิจข้ามแดนอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมผลกระทบต่อเสถียรภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจในอาเซียน โดยคำนึงถึงสวัสดิการสังคมและคุณภาพชีวิตประชาชน พร้อมกำหนดภาระรับผิดชอบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
2. เสริมสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TEIA) สำหรับโครงการที่ส่งผลกระทบข้ามชาติ พร้อมให้อำนาจตามกฎหมายแก่รัฐที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ในการบังคับใช้มาตรการดังกล่าว
3. เพิ่มการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสของประชาชน
กำหนดหลักการ ASEAN Protocol on the Right to Know เพื่อคุ้มครองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลสิ่งแวดล้อม การเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วม และความยุติธรรม พร้อมผลักดันกฎหมายการรายงานและเปิดเผยการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTR) และบังคับใช้หลักการตรวจสอบความรอบคอบด้านสิทธิมนุษยชน (HRDD) ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและความรับผิดชอบของอุตสาหกรรม
4. รักษาสันติภาพและส่งเสริมความหลากหลายทางสังคมอย่างยั่งยืน
ให้ความสำคัญกับความหลากหลายของชาติพันธุ์ ชนพื้นเมือง และกลุ่มผู้เปราะบาง รวมทั้งสนับสนุนบทบาทของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในฐานะแนวหน้าผู้ปกป้องสิ่งแวดล้อมและรักษาความมั่นคงทางสังคมในภูมิภาค
5. ปรับปรุงกรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมของอาเซียนให้มีผลผูกพันทางกฎหมาย
จัดตั้ง ASEAN Environmental Rights (AER) ที่เป็นกรอบกฎหมายผูกพันสมาชิก เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง สามารถบังคับใช้ได้ และแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนที่เป็นอันตราย เช่น กรณีเหมืองแรร์เอิร์ธในเมียนมา พร้อมปรับ ASEAN-China Environmental Cooperation Strategy ให้มีมาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมระดับนานาชาติยังร่วมกันเรียกร้องให้อาเซียน และนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนปี 2025 เร่งผลักดันการจัดตั้ง “กรอบสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN Environmental Rights Framework) ที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อรับมือกับวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม
กรอบดังกล่าวควรมีเป้าหมายในการสร้างกลไกความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมที่สามารถข้ามพรมแดน ตรวจสอบการดำเนินธุรกิจอย่างเข้มงวด และส่งเสริมความโปร่งใสผ่านหลักการ ASEAN Protocol on the Right to Know โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งยังต้องยกระดับการคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นในฐานะผู้ปกป้องสิ่งแวดล้อมแนวหน้า พร้อมปรับปรุงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับจีนให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น







