ถกเถียงร้อน! 'มาตรา 27' พื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ อาจขัดรัฐธรรมนูญ

ถกเถียงร้อน! 'มาตรา 27' พื้นที่คุ้มครองชาติพันธุ์ อาจขัดรัฐธรรมนูญ

เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ในวาระที่สองได้ดำเนินมาถึงหมวด 5 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อความยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทยได้ทักท้วงเกี่ยวกับมาตรา 27 โดยเห็นว่ามีโอกาสขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีข้อกำหนดให้ยกเว้นกฎหมายอื่นในการใช้บังคับในพื้นที่คุ้มครอง ทำให้ ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช ประธานคณะกรรมาธิการฯ เสนอให้เลื่อนการประชุมไปเป็นวันที่ 15 ม.ค. 2568 เพื่อพิจารณาเพิ่มเติม

ต่อมา ในวันที่ 15 ม.ค. 2568 ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้เสนอให้เลื่อนการพิจารณาออกไปอีกครั้ง เนื่องจากมาตรา 27 ยังไม่ได้รับการแก้ไขตามข้อท้วงติง ส่งผลให้การพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ต้องถูกเลื่อนออกไปอีกครั้งเป็นวันที่ 5 ก.พ. 2568

สาระสำคัญของหมวด 5 : พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

หมวด 5 ของร่าง พ.ร.บ. นี้ ประกอบด้วยมาตรา 27-32 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และลดผลกระทบต่อประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมายที่ดินของรัฐ เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.ป่าสงวน ซึ่งมักถูกบังคับใช้โดยไม่มีส่วนร่วมของชุมชน

มาตรา 27: การประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

  • พื้นที่คุ้มครองถูกกำหนดขึ้นเพื่อรักษาและส่งเสริมวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์
  • การจัดตั้งพื้นที่ดังกล่าวต้องอาศัยข้อตกลงระหว่างชุมชนและหน่วยงานรัฐ โดยต้องจัดทำแผนแม่บทและแผนที่เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการ
  • ในระหว่างการประกาศพื้นที่คุ้มครอง อาจมีการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางฉบับ เช่น พ.ร.บ.ป่าไม้ หรือ พ.ร.บ.ป่าสงวน ทั้งนี้ ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

มาตรา 28: เงื่อนไขการยกเลิกพื้นที่คุ้มครอง

  • หากชุมชนละเมิดข้อตกลงที่ทำไว้กับรัฐ พื้นที่คุ้มครองสามารถถูกยกเลิก และกลับไปใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 29: สิทธิของประชาชนในพื้นที่คุ้มครอง

  • ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น
  • ใช้ที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและทำกิน
  • ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการอุปโภคบริโภคและเศรษฐกิจชุมชน
  • ปฏิบัติพิธีกรรมตามวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของกลุ่มชาติพันธุ์
  • สิทธิอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการกำหนด
  • การใช้ประโยชน์ต้องเป็นไปอย่างสมดุล ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด

มาตรา 30: การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารพื้นที่คุ้มครอง

  • คณะกรรมการบริหารพื้นที่คุ้มครองประกอบด้วย
  • ผู้แทนหน่วยงานรัฐ
  • ผู้แทนชุมชนในพื้นที่
  • จำนวนสมาชิกไม่น้อยกว่า 7 คนแต่ไม่เกิน 15 คน โดยผู้แทนหน่วยงานรัฐต้องไม่เกิน 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
  • ประธานคณะกรรมการต้องเป็นตัวแทนของชุมชน

มาตรา 32: อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพื้นที่คุ้มครอง

  • จัดทำธรรมนูญของพื้นที่คุ้มครองและเสนอให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณา
  • บริหารจัดการแผนแม่บทและประเมินผลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
  • เสนอการแก้ไขแนวเขตพื้นที่คุ้มครองตามความเหมาะสม
  • ประสานงานเพื่อรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐและเอกชน
  • สนับสนุนการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับวิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ของกลุ่มชาติพันธุ์
  • เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการใหญ่เกี่ยวกับการเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงพื้นที่คุ้มครอง

หมวด 5 ของร่าง พ.ร.บ. นี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากช่วยสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการคุ้มครองวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ที่พึ่งพาพื้นที่ดังกล่าวในการดำรงชีวิต กฎหมายนี้มุ่งเน้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรและกำหนดแนวทางการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น

ลดความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชุมชน และส่งเสริมสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในการดำรงชีวิตตามวัฒนธรรมของตนเอง อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่เป็นข้อถกเถียง เช่น การยกเว้นกฎหมายอื่นในพื้นที่คุ้มครอง ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างสิทธิของชุมชนกับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐ

และ คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างพื้นที่พิเศษที่ช่วยให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงชีวิตตามวิถีดั้งเดิม

โดยมีการกำหนดสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม มาตรา 27 ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับการยกเว้นกฎหมายอื่นในพื้นที่คุ้มครอง ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการพิจารณาเพิ่มเติมในสภา