เมื่อโลกไม่อาจรอ...ท่ามกลางกระแสสิ่งแวดล้อมชะลอตัว | ASEAN Insight

นานาประเทศ รวมถึงอาเซียนต่างยกระดับความพยายามด้านสิ่งแวดล้อมมากมาย ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นและการดำเนินการลดหรือปรับตัวอย่างเข้มข้นขึ้น แต่ความพยายามยังไม่สุดและไม่สมดุล และตอนนี้โลกไม่อาจรอ...ท่ามกลางกระแสสิ่งแวดล้อมชะลอตัว
ความพยายามด้านสิ่งแวดล้อมในระยะหลังดูเหมือนว่าจะมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะจากคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่วางหลักให้รัฐมีพันธกรณีตามสนธิสัญญา กฎหมายจารีต และกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในการปกป้องสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์โดยการละเมิดพันธกรณีอาจนำไปสู่ความรับผิดชอบในการยุติการกระทำดังกล่าว ป้องกันการกระทำซ้ำ และการชดเชยรัฐที่เสียหาย
ภายใต้ความตกลงปารีส ทุก 5 ปี (2563, 2568, 2573) ประเทศภาคีต้องยื่นข้อเสนอดำเนินการของประเทศ (NDC) เพื่อยืนยันเป้าหมายบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดย NDC ของแต่ละประเทศจะนำมาสังเคราะห์สถานการณ์เทียบกับการบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส
รายงานสังเคราะห์ NDC 2025 ที่ใช้ข้อมูล NDC ใหม่ที่มีการส่งในปีนี้ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 30 ก.ย. จำนวน 64 ประเทศ ซึ่งครอบคลุม 30% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกในปี 2562 คาดว่าจากการปฏิบัติตาม NDC ของ 64 ภาคี จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ราว 13.0 (12.0-13.9) พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2578 หรือลดลงจากปี 2562 ราว 17% (11-24%)
ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างยกระดับ NDC ผ่านการตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกที่สูงขึ้นและการดำเนินการลดหรือปรับตัวอย่างเข้มข้นขึ้น เช่น สิงคโปร์ตั้งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจก 45-50 ล้านตันในปี 2578 มาเลเซียลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15-30 ล้านตันเทียบกับการปล่อยสูงสุดภายในปี 2578 และไทยมุ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจาก 47% เทียบกับปี 2562 และเลื่อนการบรรลุ net zero เร็วขึ้นเป็นปี 2593
นานาประเทศไม่เพียงยกระดับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ แต่ยังมีมาตรการกำหนดราคาคาร์บอนและมาตรการที่มุ่งเป้าบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งส่งผลตลอดห่วงโซ่อุปทาน เช่น มาตรการ CBAM มาตรการ EUDR ระเบียบ CSDDD มาตรการ RED II ของสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม ความพยายามด้านสิ่งแวดล้อมจากมาตรการต่าง ๆ ดูเหมือนจะไปได้ไม่สุด มาตรการที่มีกลไกทางการค้าส่งผลในวงกว้างต่อการค้าโลกและสร้างความกดดันในภาคเศรษฐกิจจนเกิดเสียงคัดค้านจากหลายประเทศหลายภาคส่วน นำไปสู่เลื่อนการบังคับใช้ แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดบางประการ ไปจนถึงนำข้อพิพาทเข้าสู่ WTO ทำให้แนวโน้มความเข้มข้นของมาตรการและการเดินหน้าบังคับใช้ยังถูกตั้งคำถาม
ปัจจัยประการหนึ่งมาจากการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศมีบทบาทเปลี่ยนขั้วน้ำหนักระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนรัฐบาลของประเทศที่ทำให้นโยบายสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป การเมืองในสหภาพยุโรปส่งผลต่อการบังคับใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม หรือแรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐภายใต้แกนนำของประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ไม่เชื่อในโลกร้อน
ไม่เพียงมาตรการของประเทศหรือกลุ่มเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงข้อตกลงร่วมกันระหว่างประเทศ Net-Zero Framework ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่เสนอกลไกราคาคาร์บอนในการขนส่งทางทะเลซึ่งคิดเป็น 80% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมด ที่แม้จะผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ข้อเสนอนี้ก็ถูกเลื่อนออกไปอีก 1 ปี ตามมติของที่ประชุม IMO จากแรงกดดันของสหรัฐ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย ฯลฯ
ในขณะที่กระแสสิ่งแวดล้อมชะลอตัวลง โลกก็กำลังเผชิญกับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกวัน ตามรายงาน Emission Gap 2025 ของ UNEP ระบุว่า ปี 2567 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 57.7 พันล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.3% จากปีก่อน และอุณภูมิโลกหากมีการปฏิบัติตาม NDC อย่างเต็มที่จะเพิ่มขึ้น 2.3-2.5 องศาเซลเซียส ขณะที่หากพิจารณาตามนโยบายปัจจุบันจะอยู่ที่ 2.8 องศาเซลเซียส
การประชุม COP30 ระหว่างวันที่ 10-21 พ.ย. 68 ได้ดำเนินไปท่ามกลางความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงแรงกดดันรอบด้านจากนโยบายและการเมืองระหว่างประเทศ ความพยายามแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านความร่วมมือของประชาคมโลกจึงถูกจับตาว่า สามารถขับเคลื่อนการแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงหรือเป็นเพียงการพายเรือในอ่าง...เพราะโลกไม่อาจรออีกต่อไป







