สร้างรัฐที่มองไกลด้วยการป้องกัน | คิดอนาคต

สร้างรัฐที่มองไกลด้วยการป้องกัน | คิดอนาคต

สังคมไทยเผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ แต่รูปแบบการบริหารราชการกลับดูยังติดอยู่ในกับดักเชิงระบบ (Systemic Traps) ที่ผลักให้รัฐให้ความสำคัญและทุ่มทรัพยากรไปกับการเยียวยา (Recovery)

มากกว่าการป้องกันและลดความเสี่ยงล่วงหน้า (Prevention & Mitigation)

กับดักเชิงระบบนี้หมายถึง ข้อจำกัดที่ฝังลึกในโครงสร้าง วิธีทำงาน และแรงจูงใจของระบบราชการ ซึ่งไม่ได้เกิดจากบุคคล เพราะมีคนดีคนเก่งในระบบจำนวนมาก แต่เกิดจากการตั้งค่าของระบบ ทำให้การป้องกันเกิดขึ้นได้ยาก เช่น งบประมาณที่อนุมัติงบเยียวยาได้รวดเร็ว แต่งบป้องกันระยะยาวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ยาก

ในขณะที่ ข้อมูลจาก UNDRR (United Nations Office for Disaster Risk Reduction) ระบุว่า ทุก ๆ 1 ดอลลาร์ที่ลงทุนในการลดความเสี่ยงภัยพิบัติ จะช่วยประหยัดงบประมาณในการฟื้นฟูเยียวยาได้ถึง 7 - 15 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 7-15 เท่า)

นอกจากนี้ ระบบการทำงานแบบไซโลที่แต่ละหน่วยงานแยกส่วนจนไม่สามารถวางแผนเชิงระบบร่วมกันได้ แม้หน่วยงานต่างๆ อยากจะทำงานร่วมกันก็ตาม ดังนั้น แม้มีข้อมูล ความรู้ และเทคโนโลยีพร้อม แต่ก็ยังขยับเฉพาะเมื่อเห็นความเสียหายแล้วมากกว่าลดความเสี่ยงก่อนเหตุจะเกิด

เราจึงติดอยู่ในวงจรการบริหารแบบตอบสนองเหตุการณ์ (Reactive Governance Loop) ทำให้หลายปัญหา แม้รู้วิธีป้องกัน แต่ก็ยังเกิดซ้ำทุกปี เพราะโครงสร้างถูกออกแบบให้ “แก้เมื่อเกิด” มากกว่า “ป้องกันก่อนเกิด” ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5 อุบัติเหตุบนถนน หรือปัญหาขยะล้นเมือง

ปัญหาทั้งหมดต่างผุดขึ้นมาแบบเดิมไม่รู้จบตามฤดูกาลหรือเกิดอย่างต่อเนื่อง เพราะระบบถูกออกแบบให้จัดการเมื่อเห็นความเสียหายเป็นรูปธรรมมากกว่าจัดการก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้น

ในกรณีน้ำท่วมในหลายเมือง ล้วนสะท้อนกับดักแรงจูงใจระยะสั้นและลุ้นเสี่ยงไปตามสภาพอากาศในแต่ละปี เมื่อฝนตกหนักจนท่วม เราสามารถระดมเครื่องสูบน้ำ เปิดศูนย์เฉพาะกิจ และซ่อมโครงสร้างพื้นฐานหลังน้ำลดได้อย่างรวดเร็ว พร้อมงบเยียวยาที่ไหลลงพื้นที่ในเวลาไม่นานนัก

แต่การวางระบบป้องกัน เช่น การสร้างพื้นที่รับน้ำ การปรับผังเมือง ระบบอุโมงค์ระบายน้ำ ระบบการเตือนภัยและการฝึกซ้อม กลับเผชิญอุปสรรคทั้งด้านงบประมาณ การเมือง และโครงสร้างราชการ

ในกรณีน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.43 ล้านล้านบาท ในขณะที่งบประมาณบริหารจัดการน้ำรายปีมักอยู่ที่ประมาณ 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น (ต่างกันเกือบ 10 เท่า) การป้องกันจึงใช้งบน้อยกว่าการเยียวยาอย่างเทียบกันไม่ได้ ทุกวันนี้ ประชาชนในเมืองที่มีความเสี่ยงจึงต้องอาศัยโชคปีต่อปีมากกว่าการมีระบบรองรับภัยที่รุนแรงขึ้นทุกปี

ปัญหา PM 2.5 ยังเกิดขึ้นประจำทุกปี เพราะยังไม่ได้แตะต้นเหตุของปัญหาอย่างจริงจัง แม้ไทยจะมีแผนจัดการฝุ่น PM 2.5 ที่ดี แต่ยังไม่นำไปสู่การปฏิบัตินัก มาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น การกำกับห่วงโซ่การเผาเกษตร การยกระดับมาตรฐานยานยนต์

หรือการย้ายการขนส่งเข้าสู่ราง หรือการเร่งออกกฎหมายอากาศสะอาด ซึ่งให้ผลระยะยาวและลดมลพิษได้จริง เดินหน้าได้ช้า ทั้งที่ต้นทุนสุขภาพจากหมอกควันสูงกว่าการลงทุนเชิงป้องกันหลายเท่า

ธนาคารโลกได้เคยประเมินว่ามลพิษทางอากาศก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทยสูงถึงประมาณ 6% ของ GDP ต่อปี หรือเทียบเท่า ช่วง 8 แสนล้าน - 1 ล้านล้านบาทต่อปี ตัวเลขที่สูงมากนี้มาจากการคำนวณต้นทุนด้านสุขภาพและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศในไทยประมาณ 30,000-50,000 รายต่อปี

แม้แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนที่คร่าชีวิตคนไทยปีละหลายหมื่นคน ก็ยังถูกจัดการด้วยมาตรการเฉพาะกิจช่วงเทศกาลและการรณรงค์รายปีมากกว่าการลงทุนสร้างระบบความปลอดภัยทางถนน (Road Safety System) เช่น การออกแบบถนนให้ปลอดภัย ระบบตรวจใบขับขี่ที่เข้มงวด หรือมาตรฐานรถโดยสารที่สูงขึ้น มาตรการเหล่านี้ต้องใช้เวลาและความร่วมมือหลายหน่วยงาน จึงไม่สอดคล้องกับแรงจูงใจของระบบที่ต้องการผลลัพธ์เร็ว

ข้อมูลจาก WHO และการวิเคราะห์ของ TDRI ระบุว่า ประเทศไทยมีมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากอุบัติเหตุทางถนนประมาณ 500,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 3-4% ของ GDP ซึ่งสูงกว่างบประมาณของกระทรวงคมนาคมในบางปีเสียอีก

ตัวเลขนี้รวมทั้งต้นทุนของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ความสูญเสียจากความพิการระยะยาว ทรัพย์สินเสียหาย และความสูญเสียด้านผลิตภาพแรงงาน

เมื่อพิจารณาภาพรวมของปัญหาที่เกิดซ้ำในหลายภาคส่วน ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง มลพิษอากาศ อุบัติเหตุทางถนน จะเห็นได้ว่าประเทศไม่ได้ขาดองค์ความรู้ บุคลากร หรือเทคโนโลยีในการป้องกันความเสี่ยง แต่เรายังขาดสถาปัตยกรรมแรงจูงใจของรัฐที่ออกแบบให้การป้องกันเป็น “รางวัล” และมองเห็นคุณค่าของการลดความเสี่ยงก่อนเหตุการณ์จะปะทุ 

หากผู้นำประเทศกล้ารื้อกับดักเชิงระบบที่ฝังรากมาหลายทศวรรษ ประเทศจะไม่เพียงลดต้นทุนมหาศาลจากภัยพิบัติและเหตุการณ์สุดขั้ว แต่ยังจะสร้างความเชื่อมั่นใหม่ว่าภาครัฐสามารถปกป้องอนาคตได้จริง การปฏิรูประบบแรงจูงใจ การออกแบบงบประมาณใหม่ และการส่งเสริมการทำงานเชิงป้องกันในทุกระดับ

จะทำให้ภาครัฐไทยมีขีดความสามารถในการบริหารความเสี่ยงยุคใหม่ เป็นการเปลี่ยนจากการบริหารอดีตไปสู่การบริหารอนาคต เพื่อให้ประเทศออกจากกับดักปัญหาที่วนเวียนได้สักที

 

สร้างรัฐที่มองไกลด้วยการป้องกัน | คิดอนาคต