กระดานเทรด'คาร์บอนเครดิต' แพลตฟอร์มรับดีมานด์เศรษฐกิจสีเขียว

การจัดการกับปัญหาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรมมีหลายรูปแบบ แต่เครื่องมือหนึ่งในรูปแบบ "แพลตฟอร์ม"ซื้อขาย "คาร์บอนเครดิต"ซึ่งมีทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชน กำลังเป็นกลไกสำคัญเพื่อจัดการกับปัญหาแห่งสาเหตุที่ทำให้โลกร้อน
สำหรับแพลตฟอร์มที่ว่านี้ มีทั้ง FTIX ของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.)และแพลตฟอร์มT-VER การซื้อขายคาร์บอนขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ทั้งสองแพลตฟอร์มนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
อโณทัย สังข์ทอง ผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ระบุว่า อบก. เป็นหน่วยงานที่รับรองคาร์บอนเครดิตของ T-VER แบ่งเป็น 2 ประเภท Standard และ Premium โครงการที่ได้รับรองคาร์บอนเครดิตแล้วจะถูกบันทึกลงไปในระบบทะเบียนของ อบก. และระบบทะเบียนได้เชื่อมโยง FTIX ซึ่งมีบทบาทเป็นตลาดในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ถือเป็นแพลตฟอร์มในการรับรองคาร์บอนเครดิต
ผู้พัฒนาโครงการที่มีการรับรองคาร์บอนเครดิตสามารถโอนเครคิตตลาดคาร์บอนของ อบก. ไป FTIX ทำหน้าที่เหมือนตลาดหลักทรัพย์ ได้เลยและสามารถเสนอราคาขายในตลาดได้ FTIX มีคนที่สนใจซื้อมาเปิดพอร์ตไว้ จะทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเสนอราคากันได้ เป็นระบบอัตโนมัติในการจับคู่ราคาซื้อกับราคาขายถ้าราคาซื้อและราคาขายตรงกันงานระบบก็จับคู่ให้อัตโนมัติ ซึ่งมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และยังมีการซื้อขายพลังงานสะอาด (REC) ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ออกรับรองให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอีกด้วย
สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สอท. กล่าวว่า Platform (FTIX) คือแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตแพลตฟอร์มแรกของโลกซึ่งมีระบบรองรับธุรกรรมการซื้อขายพลังงานสะอาด การออกใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน RE,CC,REC ทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศ
"แพลตฟอร์มนี้เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างสอท. และองค์กรเอกชนเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทั่วโลกสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อทดแทนพลังงานเดิมซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นต้นแบบเริ่มจากกลุ่มอุตสาหกรรม 80 บริษัท อุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ พร้อมเริ่มการเทรดคาร์บอนและขยายให้เต็มรูปแบบคาดว่าอีก 2 ปีข้างหน้าจะพัฒนาเสร็จ ซึ่งในช่วงนี้กำลังอยู่ในการรออนุมัติการรับรองของต่างประเทศเพื่อให้สามารถใช้ในระดับสากลได้ "
สำหรับขั้นตอนการเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต สามารถซื้อขายกันได้หมดไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป ธุรกิจขนาดเล็กหรือบริษัทขนาดใหญ่ ที่สำคัญคือ ต้องมีศักยภาพการทำโครงการ มีผลสำเร็จในการลดก๊าซเรือนกระจก ต้องมีโครงสร้างอย่างยั่งยืน มีการทำอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ และต้องรู้ระบบ และกระบวนการตามหลักเกณฑ์
"จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอน การลงทะเบียนว่าโครงการมีการลดก๊าซเรือนกระจกเท่าไร จากนั้นจะมีการทวนสอบคือ 1.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกก่อนทำโครงการ 2.การปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลังโครงการ ว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งในส่วนธุรกิจขนาดเล็ก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) เข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องนี้ด้วย"
โดยราคาการซื้อขายคาร์บอน อบก.เป็นกรรมการกลางในการกำหนดราคา 8 ยูโรต่อตัน ในกรณีของยุโรป แต่ราคาจะขึ้นลงตามความต้องการ และคุณภาพของเครดิตอยู่ที่เจ้าของ และการต่อรองราคา ตามดีมานด์และซัพพลาย การทำเอกสาร และทวนสอบ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงาน ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ต้องจัดทำและเปิดเผย เอกสาร/หลักฐานต่างๆ ในการดำเนินโครงการ เช่น หลักฐานในการทำกิจกรรม/โครงการ ลดก๊าซเรือนกระจก หลักฐานในการยกเลิกคาร์บอนเครดิต และรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ สำหรับการทวนสอบในกรณีการชดเชยคาร์บอนประเภทผลิตภัณฑ์ (สินค้าและบริการ) ต้องดำเนินการโดยหน่วยงาน ทวนสอบอิสระที่ขึ้นทะเบียนกับ อบก. และได้รับการขึ้นทะเบียนเครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์
สำหรับพื้นฐานของกิจกรรมชดเชยคาร์บอน แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1.การตรวจวัดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก (Measurement) 2.การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยตนเอง (Reduction) 3.การชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsetting) 4.การทำเอกสารและทวนสอบ (Documentation and Verification)
นอกจากนี้ ยังมีระบบการป้องกันการนับซ้ำจากการโอนมูลค่าทางสิ่งแวดล้อม (Environmental value) ของการลด และดูดกลับก๊าซเรือนกระจกให้กับหน่วยงานบุคคลที่ 3 ผู้พัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจก และผู้ที่อยู่ในโครงการ จำเป็น ต้องป้องกันไม่ให้หน่วยงานบุคคลที่ 3 ซึ่งไม่ทราบว่า มูลค่าทางสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นจากโครงการลด และดูดซับก๊าซเรือนกระจกนั้นๆ ถูกใช้เป็นคาร์บอนเครดิตแล้ว นำมูลค่าทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าวไปใช้อีก
จากขั้นตอนการเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตข้างต้น อาจมีอยู่หลายขั้นตอนรวมถึงการทวนสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใสเพราะเรื่องของคาร์บอนเครดิตสิ่งที่สำคัญที่สุดความมาตรฐาน และความน่าเชื่อถือเพราะผลที่ได้ตอบแทนกลับมาไม่ใช่แค่ตัวเงินตามหลักการทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ผลที่ช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นจากความร่วมแรงร่วมใจกันคือ คุณค่าที่แท้จริงแค่มูลค่าของ “คาร์บอนเครดิต”







