จับตาสถานการณ์จีน ก่อนเปิดประเทศ 8 ม.ค. 66

จับตาสถานการณ์จีน ก่อนเปิดประเทศ 8 ม.ค. 66

วิเคราะห์สถานการณ์ พร้อมจับตาท่าทีของ "จีน" ก่อนเปิดประเทศในวันที่ 8 ม.ค. 66 ส่วนจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร ทางการจีนพร้อมแค่ไหนสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ติดตามอ่านได้จากบทความนี้

ในปี 2022 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกบอบช้ำอย่างหนักจากการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวดภายใต้นโยบาย Zero Covid ตามแนวคิดผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์ ผ่านการควบคุมการเดินทางเข้าออกประเทศ การล็อกดาวน์ในหลายเมืองที่มีผู้ติดเชื้อ และมาตรการเข้มงวดอื่นๆ สวนทางกับนานาประเทศที่ทยอยเปิดประเทศ อย่างไรก็ดี เมื่อปลายเดือน ธ.ค. 2022 ทางการจีนประกาศเปิดประเทศอีกครั้งในรอบ 3 ปี โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2023 เป็นต้นไป ถือเป็นหมุดหมายที่สำคัญในทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ 

ส่องความเคลื่อนไหวสถานการณ์ในประเทศจีน

ขณะนี้ ทางการจีนประกาศผ่อนคลายมาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมถึงการลดขนาดพื้นที่เสี่ยง ระบุให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการสามารถกักตัวที่บ้านได้ ลดวันกักตัวสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ ยกเลิกการกักตัวผู้ที่เดินทางจากนอกประเทศเข้ามายังประเทศจีนในวันที่ 8 ม.ค.นี้ รวมถึงเปิดทางให้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามปกติ โดยไม่ให้มีการปิดหรือหยุดในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ และเร่งการฉีดวัคซีนให้ผู้สูงอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ทางการจีนกำลังเร่งพัฒนาวัคซีน mRNA โดยวัคซีนของบริษัท CSPC อยู่ในขั้นรออนุมัติวัคซีนแบบใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) ซึ่งถือว่ามีความคืบหน้ามากที่สุด

แม้จีนจะเปลี่ยนรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด เป็นเสียชีวิตด้วยระบบทางเดินหายใจ และประกาศยกเลิกการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดที่ไม่แสดงอาการ แต่หน่วยงานรัฐระบุว่า การติดเชื้อบางเมืองผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทั้งนี้การใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในหลายเมืองใหญ่ อย่างเซี่ยงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น และหนานจิง ส่งสัญญาณการออกจากภาวการณ์ระบาด โดยบริษัท China State Railway Group คาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการแตะ 2.69 พันล้านคนในปี 2023 ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 68% จากปี 2022

จำนวนผู้ใช้บริการรถไฟใต้ดินเริ่มฟื้นตัวในหลายเมืองหลัก

จับตาสถานการณ์จีน ก่อนเปิดประเทศ 8 ม.ค. 66

ที่มา: Bloomberg

ทั้งนี้ ประชาชนเริ่มออกมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นในช่วงหยุดเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา โดย 60% ของผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม ท่องเที่ยวออนไลน์ อย่าง Trip.com เลือกที่จะเดินทางไปต่างเมือง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 40% เช่นเดียวกับ Ly.com พบว่า 67.6% ของยอดจองโรงแรมทั้งหมดเป็นการจองต่างเมือง เพิ่มขึ้นจากราว 50% ในช่วงปีใหม่ปี 2022 แม้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 35% จากปี 2019 แต่เพิ่มขึ้น 4% จากปีที่แล้ว ถือว่าเป็นสัญญาณสะท้อนการสิ้นสุดของนโยบาย Zero Covid แต่อาจจะต้องระมัดระวังการแพร่ระบาดอีกครั้งภายหลัง เทศกาลตรุษจีน วันที่ 22 ม.ค. นี้

อย่างไรก็ดี หลายประเทศมีความกังวลต่อมาตรการการเปิดประเทศ พร้อมออกกฎการตรวจหาเชื้อสำหรับผู้ที่เดินทางจากจีน โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะจำนวนผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มสูงขึ้นหลังจากผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid อาจส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ของไวรัส ซึ่งทางการจีนระบุว่า เตรียมออกมาตรการตอบโต้ชาติที่ออกกฎบังคับให้ผู้เดินทางจากจีนตรวจหาเชื้อโควิดก่อนเข้าประเทศ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น และอิตาลี ซึ่งจีนเชื่อว่ากฎเกณฑ์ที่ชาติต่างๆ สร้างขึ้น เป็นเพราะเหตุผลทางด้านการเมือง ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามาตรการตอบโต้ที่จีนเตรียมนำมาใช้จะเป็นอะไร แต่มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นการใช้มาตรการตรวจบังคับหาเชื้อก่อนเข้าประเทศกับชาติที่จีนต้องการตอบโต้นั่นเอง

ภาครัฐเร่งเครื่องเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายของทางภาครัฐ ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2022 ยอดค้าปลีกในประเทศจีนลดตัวลง 0.1% จากปีก่อนหน้า จากการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจและมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดกดดันรายได้ของประชาชน สะท้อนในการบริโภคภายในประเทศที่สัดส่วนลดลงเหลือเพียง 52.4% ของ GDP จากก่อนเกิดการแพร่ระบาดปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ 57.2% อย่างไรก็ดีในปีนี้ คาดว่าการบริโภคโดยเฉพาะในภาคเอกชนจะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะหนุนเศรษฐกิจจีนให้ฟื้นตัว จากรายได้ที่กลับมาใกล้เคียงระดับปกติ ซึ่งการประชุมแผนงานด้านเศรษฐกิจส่วนกลางของจีน Central Economic (CEWC) ระบุว่า จะกระตุ้นรายได้ของภาคครัวเรือนและสนับสนุนกำลังซื้อผ่านมาตรการต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นนโยบายเหล่านี้มากขึ้นในปี 2023 รวมถึงการดำเนินงบประมาณขาดดุลก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จีนจะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการอย่างเข้มข้นในปี 2023 โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจีนจะดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลในสัดส่วน 3 - 3.5% ของ GDP สูงกว่าในปี 2022 และ 2021 ที่ 2.8% และ 3.2% ตามลำดับเพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ

อีกทั้ง การเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่น ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการดำเนินนโยบายในปีนี้ ซึ่งรัฐบาลจีนเองก็ส่งสัญญาณการผลักดันนโยบายสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Pro-Growth Policies) อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นเดือน ธ.ค. มีการถ่ายทอดข่าวภาคค่ำที่รวบรวมประวัติองค์กรเอกชน (POE) ที่ประสบความสำเร็จหลายแห่ง และเน้นย้ำถึงการสนับสนุนของรัฐบาลสำหรับองค์กรเหล่านี้ หลังจากที่ในปีที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนเพียง 16% ที่ยินดีจะลงทุนเพิ่ม ซึ่งเป็นระดับที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ต่อมาในวันที่ 26 ธ.ค. มีการประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ และส่งสัญญาณความพร้อมที่จะเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของโลกอีกครั้ง เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (MPC) ไตรมาส 4 ที่เปิดเผยในวันที่ 30 ธ.ค. ได้ระบุถึงการผ่อนปรนมาตรการฝั่งอุปสงค์ในภาค อสังหาฯ เพิ่มเติม ทั้งนี้ ยังต้องรอความชัดเจนของนโยบายการเปิดประเทศของจีนในการประชุมใหญ่ของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ที่จะกำหนดเป้าหมายตัวเลขทางเศรษฐกิจในเดือน มี.ค. 2023

ตลาดหุ้นจีนพุ่งขึ้นตอบรับในเชิงบวก

หลังทางการจีนเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการโควิดในเดือน พ.ย. ดัชนี HSCEI ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงเดือน ต.ค. เช่นเดียวกับดัชนี MSCI China ซึ่ง Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างดัชนี S&P500 และ Nasdaq อย่างโดดเด่น และยังเคลื่อนไหวในแดนบวกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดัชนีหุ้นจีนเทรดในสหรัฐอย่าง Nasdaq Golden Dragon ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์หลายเจ้ากลับมาปรับมุมมองการลงทุนในหุ้นจีน โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี อย่างเช่นกลุ่ม Internet Platform หลังปัจจัยกดดันหลายอย่างเริ่มดูคลี่คลาย ยังมี upside ในการเข้าลงทุน โดยเป็นกลุ่มที่น่าจะได้ประโยชน์จากการที่จีนกลับมาเปิดประเทศ

ดัชนีตลาดหุ้นจีน Outperform ตลาดหุ้นสหรัฐ ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. 2022

จับตาสถานการณ์จีน ก่อนเปิดประเทศ 8 ม.ค. 66
 
ที่มา : Bloomberg

โดยภาพรวม การเปิดประเทศของจีนในวันที่ 8 ม.ค.นี้ ถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะหนุน เศรษฐกิจจีน และโลกในปีนี้ แม้ในระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ถือเป็นการปูทางให้จีนสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายของทางการจีนที่มุ่งมั่นฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศและสนับสนุนการเติบโตของภาคเอกชน โดยนักเศรษฐศาสตร์มองเห็นถึงความน่าจะเป็นที่เพิ่มขึ้นของการ rebound ที่รวดเร็วและแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023 แม้ว่าการเติบโตอาจจะชะลอไตรมาสแรก แต่คาดว่าเศรษฐกิจของจีนจะสามารถขยายตัวแตะ 4.8% ในปีนี้ ซึ่งตลาดหุ้นจีนก็ตอบรับในเชิงบวก และถือเป็นปีที่มีโอกาสเห็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของประเทศจีน

ที่มา : Bloomberg, Caixin และ Economic Strategy Unit (ESU)

ข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์และการคาดหมาย รวมทั้งการแสดงความคิดเห็นทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้ทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดที่ได้รับมาและพิจารณาแล้วเห็นว่า น่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ไม่อาจรับรองความถูกต้อง ความสมบูรณ์ แท้จริงของข้อมูลดังกล่าว ความเห็นที่แสดงไว้ในรายงานฉบับนี้ได้มาจากการพิจารณาโดยเหมาะสมและรอบคอบแล้ว และอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้าแต่อย่างใด บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏ อยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และเว็บไซต์ tiscoasset หรือแอปพลิเคชัน TISCO My Funds