ความลังเลในการฉีดวัคซีนมาจากไหน?

ความลังเลในการฉีดวัคซีนมาจากไหน?

ประเด็นเรื่องของฉีดวัคซีนโควิด19 กลายเป็นหัวข้อในการสนทนารายวัน ในเกือบทุกกลุ่มสังคม รวมถึงความลังเลและความไม่แน่ใจ ว่าจะฉีดวัคซีนดีหรือไม่

            ดราม่าเรื่องของวัคซีนกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไป มีทั้งการตามล่าหาวัคซีน ความสับสนวุ่นวายในการจองคิวในการฉีด รวมถึงความลังเลและความไม่แน่ใจว่าจะฉีดวัคซีนดีหรือไม่ ในประเด็นหลังนั้นตอนแรกก็นึกว่าเกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทย แต่พบว่าเป็นปรากฏการณ์ในระดับสากลและเกิดขึ้นในประเทศชั้นนำต่างๆ และเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วจนทาง WHO ตั้งชื่อว่า Vaccine Hesitancy และเคยระบุว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาวะที่ดีของคนทั่วโลกอีกด้วย

 

        มีการศึกษาในปี 2021 พบว่ามีเพียง 50-60% ของประชากรทั่วโลกที่ยอมที่จะฉีดวัคซีนโควิด19 ซึ่งอัตราดังกล่าวก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ อย่างเช่นในอังกฤษ พบว่าร้อย 18 ของผู้ตอบแบบสอบถาม (จากงานวิจัยอีกชุด) ยังมีความลังเลที่จะฉีดวัคซีนโควิด19 งานวิจัยในลักษณะเดียวกันที่ประเทศแคนาดาพบว่ามีเพียงร้อยละ 48 ของผู้ตอบแบบสอบถามในแคนาดาที่ตอบรับที่จะฉีดวัคซีนโควิด19 ทันที เมื่อมีวัคซีนออกมา

 

        ผลจากความลังเลในการฉีดวัคซีน ทำให้มีนักวิชาการอยากจะทราบสาเหตุ เลยไปศึกษาวิจัยต่อว่า ทำไมยังมีประชากรจำนวนมากที่มีความลังเลที่จะฉีดวัคซีนอยู่ ได้ไปพบเจองานวิชาการสองชิ้นที่ทางผู้วิจัยได้ไปเก็บข้อมูลมาจากสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Twitter ในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยงานชิ้นหนึ่งเก็บข้อมูลเฉพาะ Twitter ของชาวอเมริกา และอีกชิ้นเก็บเฉพาะ Twitter ของชาวแคนาดา จากนั้นทางผู้วิจัยก็นำข้อมูลจาก Twitter เข้าสู่กระบวนการวิจัย เพื่อจัดกลุ่มและศึกษาดูว่าอะไรคือสาเหตุหลักๆ ที่ประชากรในทั้งสองประเทศยังลังเลที่จะฉีดวัคซีนโควิด19

 

        จากงานวิจัยทั้งสองชิ้นพอจะสรุปประเด็นหลักๆ ที่คนลังเลที่จะฉีดวัคซีนโควิด19 (โดยการเก็บข้อมูลจากการโพสต์บน Twitter) ได้เป็นดังนี้

 

  1. ได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด - คนกลุ่มนี้จะลังเลในการฉีดวัคซีน เนื่องจาการได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือข้อมูลที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิง ทำให้คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีน เช่น คิดว่าวัคซีนเป็นเพียงแค่การทดลองทางการแพทย์ หรือ เป็นโควิด19 แล้วมีโอกาสหายเองได้สูง หรือ วัคซีนยังไม่เคยถูกทดสอบมาก่อน หรือ วัคซีนจะทำให้เกิดโรคใหม่ๆ เป็นต้น
  2. ความปลอดภัย - จะเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับความกังวลในความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน รวมถึงความกังวลว่าวัคซีนจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าข้อดี
  3. ทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) - กลุ่มนี้ก็จะเป็นพวกที่มีจินตนาการสูงและมองว่าวัคซีนโควิด19 ที่ออกมานั้นเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่) หรือ แม้กระทั่งวัคซีนที่ออกมามีไมโครชิปแฝงอยู่เพื่อใช้ในการติดตามคน
  4. ความไม่ไว้วางใจ - ซึ่งเป็นความไม่ไว้วางใจต่อทั้งบริษัทที่ผลิตวัคซีน นักวิทยาศาสตร์ แพทย์ หน่วยงานภาครัฐ หรือ รัฐบาล ทำให้เกิดความลังเลในการฉีดวัคซีน
  5. เสรีภาพในการตัดสินใจ - มองว่าเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลที่จะเลือกว่าจะฉีดหรือไม่ฉีด รวมทั้งเลือกชนิดของวัคซีนที่จะฉีดด้วย

 

        งานวิจัยดังกล่าวนอกจากพยายามหาสาเหตุที่ทำให้คนลังเลที่จะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังได้พยายามให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อให้แก้ไขปัญหาและให้คนหันมาฉีดวัคซีนโควิด19 กันมากขึ้น ทั้งเรื่องของการสื่อสาร การให้ข้อมูล ความรู้ที่ถูกต้อง การใช้ Influencer ที่เป็นที่เชื่อถือในสังคม การมุ่งเน้นประเด็นของวิทยาศาสตร์และการแพทย์มากกว่าด้านการเมือง (ข้อความและความรู้ทั้งหลายที่สื่อสารออกไปควรจะมาจากแพทย์มากกว่านักการเมือง) และการพยายามชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของวัคซีนต่อตนเองและครอบครัว

 

        ข้อมูลข้างต้นทั้งหมดเป็นผลวิจัยจากต่างประเทศ แต่ในหลายๆ ส่วนก็สามารถนำมาปรับใช้และต่อยอดกับของประเทศไทยได้ด้วย และสำหรับในประเทศไทย นอกเหนือจากมุมมองของความลังเลในการฉีดวัคซีนแล้ว ยังอาจจะมีอีกมุมมองอื่นๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมและความเหลื่อมล้ำที่น่าศึกษาด้วย.