การเมืองไทย จุดอ่อนขับเคลื่อนประเทศ

การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้ง การรัฐประหาร หรือการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ซึ่งล้วนส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจขาดความต่อเนื่องและแนวทางที่ชัดเจน ทำให้การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่

การขาดเสถียรภาพทางการเมืองส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นักลงทุนมักลังเลที่จะทำการลงทุนระยะยาวในประเทศที่มีความเสี่ยงทางการเมืองสูง เนื่องจากกังวลว่านโยบายสำคัญอาจถูกเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ส่งผลให้การไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศชะลอตัว และโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

ผลกระทบที่สำคัญที่สุดคือการหยุดชะงักของนโยบายการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจที่จำเป็นต่อการยกระดับประเทศสู่สถานะรายได้สูง การปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงการปรับปรุงระบบราชการและกฎหมาย ล้วนต้องการระยะเวลาในการดำเนินการและความต่อเนื่องของนโยบาย แต่ความผันผวนทางการเมืองทำให้โครงการเหล่านี้ขาดการติดตามและประเมินผลอย่างเป็นระบบ
    
ความท้าทายในการแก้ไขปัญหา “กับดักรายได้ปานกลาง” (Middle Income Trap) ของประเทศไทยจึงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อประเทศขาดกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายระยะยาวที่มีความต่อเนื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่วางไว้มักไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญและการจัดสรรงบประมาณ ทำให้เป้าหมายการพัฒนาประเทศให้ก้าวข้ามสู่กลุ่มประเทศรายได้สูงยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
    
ในอนาคตการสร้างกลไกที่มั่นคงในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว โดยไม่ขึ้นอยู่กับความผันผวนทางการเมือง จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาประเทศ การสร้างฉันทามติของเป้าหมายการเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งต่างจากยุทธศาสตร์ชาติ 2561-2580 ที่หลายฝ่ายมองเป็นมรดกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงแม้ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายเป็นประเทศรายได้สูงในปี 2580 ซึ่งการเห็นรวมกันจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้และผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูงได้