ปตท. พร้อมสู้ศึกภูมิรัฐศาสตร์ มั่นใจผลดำเนินงานระยะยาว

ปตท. พร้อมสู้ศึกภูมิรัฐศาสตร์ มั่นใจผลดำเนินงานระยะยาว

ปตท.โชว์กำไรครึ่งปีแรก 68 แตะ 4.4 หมื่นล้าน ตั้งเป้า EBITDA ที่มาจากการลดต้นทุนปีนี้กว่า 10,000 ล้านบาท ระบุวิกฤติชายแดน “ไทย-กัมพูชา” เป็นอีกปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ “โออาร์” เผยครึ่งปีหลังรับแรงกระแทกในกัมพูชา กระทบยอดขายลดหลังเกิดกระแส “แบนสินค้าไทย” ผลกระทบภาพรวมยังจำกัด 

KEY

POINTS

  • ปตท. จัดตั้ง "วอร์รูม" และใช้การวางแผนตามสถานการณ์ (Scenario Planning) เพื่อรับมือความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็นภาษีของสหรัฐฯ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
  • สำหรับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ปตท. ได้มอบหมายให้ OR เป็นผู้บริหารความเสี่ยง โดยให้ความสำคัญกับความมั่นคงของประเทศเป็นอันดับแรก
  • แม้เผชิญความเสี่ยง ปตท. ยังมั่นใจในผลการดำเนินงาน โดยมีกำไรสุทธิครึ่งปีแรก 2568 ที่ 44,848 ล้านบาท และเดินหน้าแผนเพิ่ม EBITDA และสร้างกระแสเงินสดกว่า 1.1 แสนล้านบาทใน 2 ปี
  • OR ประเมินว่าผลกระทบจากสถานการณ์ในกัมพูชายังมีจำกัด เนื่องจากธุรกิจในกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 3-5% ของงบรวม และกำลังบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบต่อยอดขาย

สถานการณ์ธุรกิจกำลังเผชิญกับความเสี่ยงปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์ที่ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับแผนงาน ในขณะที่สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้ลงทุนในกัมพูชาจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงาน ปตท. รอบ 6 เดือนแรกปี 2568 ยังคงแข็งแกร่งด้วยกำไรสุทธิ 44,848 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิของทั้งปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 90,072 ล้านบาท

“แนวโน้มผลกำเนินงานครึ่งปีหลัง มองว่าราคาน้ำมันคงไม่ขึ้นไปสูงมาก ดังนั้น จากสภาวะเศรษฐกิจ มาร์จิ้นกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นจะยังคงทรงๆ ดังนั้น ความสามรถจากวิชั่น และการเพิ่ม EBITDA จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้”

สำหรับแผนการลงทุนกลุ่ม ปตท.ในสหรัฐ และผลกระทบภาษีสหรัฐนั้น ปตท.ยังเป็นผู้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด โดยกลุ่ม ปตท.ทำสัญญาในการจัดหาก๊าซ LNG มานานปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี ถือเป็นเครื่องมือช่วยให้รัฐบาลได้ต่อรองได้ โดยการซื้อ-ขายต้องเจรจา เพราะ LNG มีราคาอ้างอิงทั่วโลก 

ทั้งนี้ LNG จากแหล่ง Alaska ทางตอนเหนือของสหรัฐ เบื้องต้นในปริมาณ 2 ล้านตันต่อปี เป็นสัญญาระยะยาว 15-20 ปี โดยกว่าจะออกมาตามการ MOU อีก 4 ปี โดยวันข้างหน้าสัญญาระยะยาวที่จะนำเข้าจะครบสัญญาในส่วนนี้จะเข้ามาทดแทนได้เป็นประโยชน์กับประเทศที่ต่อรอง

ภาษีทรัมป์ก็ติดตามสถานการณ์ โดยโลกมีความไม่แน่นนอนในหลายเรื่องทั้งภูมิรัฐศาสตร์ กลุ่ม ปตท.ต้องบริหารจัดการและวางแผนการลงทุนอย่างระมัดระวัง รักษาผลตอบแทนที่ดีภาษีสหรัฐจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นความเสี่ยง โดยมีแผนที่รองรับโดยตั้งวอร์รูม”

มองปัญหาชายแดนเป็นอีกภูมิรัฐศาสตร์

ส่วนปัญหาชายแดนไทยและกัมพูชาเป็นอีกปัญหาที่กลุ่ม ปตท.จับตาใกล้ชิด ดังนั้น ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานชาติต้องคำนึงความมั่นคงของประเทศที่ต้องมาอันดับ 1 โดยปัญหาดังกล่าว เป็นอีกเรื่องสำคัญที่เหมือนมาตรการภาษีสหรัฐ หรือภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเมื่อเทียบธุรกิจทั้งกลุ่มแล้ว ปตท.ต้องบริหารการรับมือภูมิรัฐศาสตร์ให้ดี เป็นอีกหนึ่งวิธีดำเนินการ ดังนั้น คนไทยต้องเอาเรื่องของประเทศไว้ก่อน

“เรื่องไทยและกัมพูชาถือเป็นความไม่แน่นอนทางภูมิรัศฐศาตร์ ปกติเราปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ให้บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เป็นผู้บริหารความเสี่ยงและตัดสินใจ โดย ปตท.มองความสำคัญภายในประเทศมากกว่า”

ตั้งวอร์รูมจัดทำ Scenario Planning รับวิกฤติ

ทั้งนี้ ปตท.มั่นใจกลยุทธ์ปตท. มาถูกทาง โดยตั้งวอร์รูมจัดทำ Scenario Planning ที่ยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ทันต่อสถานการณ์ อาทิ 1. ความขัดแย่งภูมิรัฐศาสตร์ 2. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 3. กฏหมายและระเบียบข้อบังคับ 

4. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน 5. การเปลี่ยนของภูมิทัศน์อุตสาหกรรม เมื่อรวมกับปัญหาสงครามการค้าและภาษีทรัมป์ ปตท. จึงต้องรับมือบริหารจัดการความไม่แน่นอนเหล่านี้ โดยเร่งดำเนินการเพิ่มผลการดำเนินงานด้านการเงิน

ตั้งเป้าเพิ่มกระแสเงินสดกว่า 1 แสนล้านบาท

สำหรับ Key Initiatives เพื่อ EBITDA Uplift และตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลา ได้แก่ระยะสั้น Non-Hydrocarbon Business Restructuring มี 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 

1.P1 & D1 - Supply Chain Optimization โดยตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 5,800 ล้านบาท/ปี ภายในปี 2030 โดยเป้าปีนี้ 4,325 ล้านบาท

2.MissionX - Operational Excellence: ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 30,000 ล้านบาท/ปี ภายในปี 2027 (เป้าหมายปีนี้ 10,000 ล้านบาท)

3.AXIS - Digital Transformation ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 12,000 ล้านบาท/ปี ภายในปี 2029 (เป้าหมายปีนี้ 200 ล้านบาท)

ส่วนระยะกลาง Reshape P&R Portfolio ปรับโครงสร้างธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น โดยทำการปรับ Portfolio กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและโรงกลั่น (P&R) เสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเรือธง (Flagships) โดยเปิดโอกาสให้มีพาทเนอร์เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่า ซึ่งต้องเป็นพาทเนอร์ที่ต้องอยู่ในอุตสาหกรรม 

รวมทั้ง ปตท.ยังมองว่าเป็นธุรกิจเรือธงของกลุ่มอยู่และยังถือเป็นหุ้นใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการสรุปรายชื่อพาทเนอร์ได้ภายในปี 2568 และตั้งเป้าดำเนินธุรกิจแล้วเสร็จภายในปี 2569 ส่วนธุรกิจ LNG Growth ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต LNG เป็น 10 ล้านตันภายในปี 2030 และ 15 ล้านตัน ภายในปี 2035

ในขณะที่ระยะยาว ผ่านธุรกิจ CCS (Carbon Capture and Storage) โดยปีนี้อยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาแหล่งอาทิตย์ Arthit CCS FID และปี 2028 คาดจะมีปริมาณ CCS COD ที่ 1 ล้านตัน (MTPA) ส่วนปี 2034 จะขยายสู่การเป็น Eastern Thailand CCS Hub ที่ปริมาณกว่า 5 ล้านตัน

ส่วนธุรกิจ Hydrogen อยู่ระหว่างจัดทำ Hydrogen/Ammonia business roadmap คาดแล้วเสร็จในปีนี้ และปี 2030 สามารถสร้างเครือข่ายการจัดหาและโครงสร้างพื้นฐานทดลองนำร่องแอมโมเนีย ใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมในโรงไฟฟ้าถ่านหิน

ดังนั้น จะทำให้ EBITDA ที่มาจากการ Cost Saving รักษาวินัยทางการเงิน, ประหยัดค่าใช้จ่ายดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 2025 ที่ 3,814 ล้านบาท คาดทั้งปีที่ 10,000 ล้านบาท ส่วน Asset Monetization โดยการบริหารสินทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อเพิ่มผลการดำเนินงานและมีความมั่นคงในระยะยาว, แสวงหาโอกาสในการสร้างผลกำไร โดยมุ่งสร้างกระแสเงินสด 38,000 ล้านบาท ในปี 2025 และ 77,000 ล้านบาท ในปี 2026 รวมเพิ่มสภาพคล่อง 2 ปี กว่า1.1 แสนล้านบาท

“โออาร์” มองผลกระทบกัมพูชาจำกัด

นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน โออาร์ เปิดเผยว่า ธุรกิจในกัมพูชาปัจจุบันได้บันทึก EBITDA กลับมาในงบทั้งปีสัดส่วน 5% ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผลงานภาพรวมบริษัทค่อนข้างดี เพราะปัญหาไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นเพียง 10 วันในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งประเมินผลกระทบฝั่งไทยยังน้อยมาก และยังคงดำเนินธุรกิจปกติในพื้นที่จังหวัดแนวชายแดน เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังพร้อมดูแลและเยียวยาดีลเลอร์ หวังว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติโดยเร็ว

สำหรับการดำเนินธุรกิจในฝั่งประเทศกัมพูชา จากสถานการณ์ดังกล่าวจนกลายเป็นกระแสชาตินิยม และช่วงนี้ชาวกัมพูชามีการแบนสินค้าแบรนด์ไทยส่งผลให้ยอดขายอาจลดลง ทั้งในส่วนของ PTT Station ปั้มน้ำมัน ร้านค้าปลีก และร้านคาเฟ่อเมซอน

ส่วนประเด็นที่ดีลเลอร์ในฝั่งกัมพูชา ที่ต้องการเปลี่ยนแบรนด์ใหม่เป็น Local Station เพื่อลดถอนกระแสชาตินิยมนั้น พบว่าตอนนี้ยังมีติดต่อเข้ามาจำนวนไม่มาก โดยการจัดการมีสัดส่วนแฟรนไชส์ให้ดีลเลอร์ท้องถิ่นดำเนินการ 90% และโออาร์ดำเนินการเองสัดส่วน 10% เช่นเดียวในไทย

“หากดีลเลอร์ท้องถิ่นต้องรีแบรนด์เป็นแบรนด์อื่นนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสัญญา ถ้าไม่ผิดเงื่อนไขสามารถทำได้ แต่หากผิดเงื่อนไข ต้องมีการชดใช้ค่าเสียหายที่ยังไม่คุ้มค่าการลงทุน”

ขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจในกัมพูชาช่วงครึ่งปีหลังจะอ่อนตัวลง จากช่วงไตรมาส 3 นี้ แนวโน้มยอดขายลดลง จากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาผลกระทบยังจำกัดมาก แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบภาพรวมธุรกิจของโออาร์ไม่มากนัก เพราะผลประกอบการในกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 3-5% ของงบรวมของโออาร์เท่านั้น

“เรายังติดตามสถานการณ์ คาดหวังว่า สถานการณ์ดังกล่าว จะกลับมาปกติในเร็ววัน และเมื่อเหตุการณ์ดีขึ้น เราจะกลับเข้าไปประเมินและทบทวนการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาต่อไป”