ปตท. กางแผนวอร์รูมรับมือทรัมป์ ปรับพอร์ตดันอีบิทด้าเพิ่ม 2 หมื่นล้าน

“คงกระพัน” ชูผลงาน 1 ปี ตามวิชั่น ลุยธุรกิจที่ถนัด ตัดทิ้งธุรกิจไม่ทำกำไร มองเศรษฐกิจโลกทั้งปียังไม่สดใสเจรจาการค้ายังเสี่ยงย้ำ กลุ่ม ปตท.ต้องเตรียมรับมือบริหารกระแสเงินสดเพิ่มสภาพคล่อง เพิ่ม EBITDA อย่างน้อย 2 หมื่นล้านบาท ที่เป็นส่วนเกินจากกำไรจากการดำเนินงาน
KEY
POINTS
- ปตท. พร้อมรับมือความผันผวน และภาวะเศรษฐกิจถดถอย จากนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐ ปริมาณการผลิตน้ำมันสูงขึ้น และความต้องการใช้พลังงานลดลง จึงตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA อีกกว่า 20,000 ล้านบาท
- สำหรับกลยุทธ์การเพิ่มกำไร อาทิ มีวินัยทางการเงิน เพื่อกระแสเงินสดที่มั่นคง ปรับ Asset Portfolio เพิ่มประสิทธิภาพ ความมั่นคงระยะยาว แสวงหาโอกาสเพิ่มกำไร และแปลงสินทรัพย์เป็นทุน 15,000 ล้านบาท
- ปตท. ตั้งวอร์รูมรับมือเศรษฐกิจโลก 5 ด้าน คือ ทบทวนกลยุทธ์ เน้นเร่งการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันรักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุน ดูแลคู่ค้า และลูกค้าตลอดซัพพลายเชน ทบทวนความเป็นไปได้ของการลงทุน และสื่อสาร และสร้างความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้เสีย
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เข้ารับตำแหน่งผู้นำองค์กรบริษัทพลังงานแห่งชาติครบ 1 ปี โดยที่ผ่านมาได้กำหนดวิสัยทัศน์ ปตท.แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกยั่งยืน
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 สะท้อนทิศทางการบริหารที่เน้นธุรกิจ Hydrocarbon ที่ถนัด และปรับพอร์ตธุรกิจสู่สมดุลใหม่ พร้อมทั้งเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ทำให้มีกำไรสุทธิ 23,315 ล้านบาท นำส่งรายได้เข้ารัฐในรูปแบบภาษี 7,256 ล้านบาท
นายคงกระพัน กล่าวว่า จากสัญญาณสถานการณ์พลังงานที่ผันผวน และเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเผชิญภาวะถดถอยจากหลายปัจจัยทั้งนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐในปลายไตรมาสที่ 1 ปริมาณการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นในตลาดโลก และความต้องการใช้พลังงานที่ลดลงตามเศรษฐกิจที่ชะลอ
"ตลอด 1 ปี หลังปรับกลยุทธ์มั่นใจว่ามาถูกทาง สะท้อนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่เศรษฐกิจโลกยังไม่ดี การเจรจาการค้ายังมีความเสี่ยง ส่งผลให้ปิโตรเคมียังคงขาลง กลุ่ม ปตท.เตรียมรับมือทั้งกระแสเงินสด สภาพคล่อง ปรับปรุงกำไรให้ได้ EBITDA ตามเป้าหมาย 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยพยุงให้ผลประกอบการ”
สำหรับกำไรที่จะเพิ่มเข้ามากว่า 2 หมื่นล้านบาท จะมาจาก 1.การมีวินัยทางการเงิน โดยลดค่าใช้จ่ายเบื้องต้นตั้งเป้า 10,000 ล้านบาท ในปีนี้ 2.การรักษาสภาพคล่องทางการเงินเพื่อคงไว้ ซึ่งกระแสเงินสดที่มั่นคงภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
3.การปรับ Asset Portfolio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความมั่นคงในระยะยาว 4.แสวงหาโอกาสเพื่อเพิ่มกำไร 8,000 ล้านบาท 5.การให้ความสำคัญกับการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน และประเมินกระแสเงินสดจากการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน 15,000 ล้านบาท
สำหรับสิ่งที่กลุ่ม ปตท.ช่วยภาครัฐเพื่อเสนอเกมต่อรองภาษีสหรัฐที่เป็น 1 ใน 5 ข้อเสนอของไทย โดย ปตท.ดำเนินการอยู่แล้ว 2-3 เรื่อง เช่น การนำเข้า LNG ปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี โดยเริ่มปีหน้า มูลค่าหลัก 7 พันล้านดอลลาร์ นำเข้าอีเทนโดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC จะนำเข้าอีเทนจากสหรัฐ ปริมาณ 400,000 ตันต่อปี มูลค่าเป็นพันล้านดอลลาร์
ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจา คือ โครงการที่ ปตท.และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน พิจารณาการนำเข้า LNG จากอะแลสกาในปริมาณ 3–5 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นแหล่ง LNG ที่ใกล้กว่าแหล่งอื่นในสหรัฐ มีสูตรการขายทันสมัยยืดหยุ่น เช่น สามารถเทรดดิ้งขายที่อื่นได้จะสร้างกำไรได้ ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับการเจรจา
ตั้งวอร์รูมเตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ปตท.จะดำเนินเชิงรุกจัดตั้งวอร์รูม เตรียมแผนรับมือเศรษฐกิจถดถอยครอบคลุมการดำเนินงานใน 5 ด้าน ได้แก่
1. Strategy ทบทวนกลยุทธ์เดิมพร้อมพิจารณาความท้าทายใหม่ที่จะเข้ามากระทบ พบว่ากลยุทธ์กลุ่ม ปตท. มาถูกทาง เหมาะสม สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกและความท้าทายจากเรื่องสงครามการค้าได้ เพียงแต่บางเรื่องต้องเร่งให้เร็วขึ้น เช่น การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท.
2. Financial Management รักษาวินัยการเงิน บริหารต้นทุนการเงิน เสริมสภาพคล่องกระแสเงินสด รักษาระดับ Credit Rating
3. Supply Chain & Customer ดูแลคู่ค้าลูกค้าเพื่อสร้างความต่อเนื่องตลอดซัพพลายเชน พร้อมเร่งดำเนินโครงการสร้างมูลค่าเพิ่ม
4. Project Management ทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของ flagship
5. Communication สื่อสารและสร้างความเข้าใจการดำเนินธุรกิจแก่ผู้มีส่วนได้เสียอย่างทั่วถึง
นอกจากนี้กลุ่ม ปตท.เร่งสร้างความแข็งแรงภายใน สร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท.ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็น PTT Group Synergy บริหารงานแบบ Centralized Supply and Market Management มีเป้าหมาย 3,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2028
โครงการ MissionX ยกระดับ Operational Excellence เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าทั้งกลุ่ม ปตท.ประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2027 มีแผนงานชัดเจน และเป้าหมายเป็นรูปธรรมซึ่งเริ่มดำเนินการแล้ว
รวมถึงโครงการ Axis โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้อีก 11,000 ล้านบาทต่อปี ภายในปี 2029 รวมถึงการทำ Asset Monetization ของกลุ่ม ปตท.ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน
รวมทั้งเสริมความแข็งแกร่งด้วยการรักษาวินัยทางการเงิน และการลงทุนอย่างเคร่งครัด ตลอดจนบริหารสภาพคล่องกระแสเงินสดภายในกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม และผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน
ลุยธุรกิจ “ไฮโดรคาร์บอน” เสริมความมั่นคง
ดังนั้น จากแผนธุรกิจ ปตท.มุ่งเน้นธุรกิจหลัก Hydrocarbon สร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.เพิ่มกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในแหล่งอาทิตย์ เป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ช่วยให้ปริมาณสำรองปิโตรเลียมของไทย พร้อมขยายการเติบโตของธุรกิจปัจจุบันในต่างประเทศ โดยเข้าถือหุ้น 10% ใน Ghasha หนึ่งในแหล่งก๊าซธรรมชาติใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ขณะที่ บริษัทโกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในอินเดีย และไต้หวัน สอดรับความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่เติบโต
รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มธุรกิจ LNG ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จมุ่งเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย LNG ในภูมิภาค ซึ่งใช้จุดแข็งโครงสร้างพื้นฐานพร้อมนำเข้า LNG รวม 11 ล้านตันต่อปี ครอบคลุมสัญญาระยะยาว และสัญญาซื้อขายแบบ Spot LNG Hub ของภูมิภาค
“ธุรกิจปิโตรเคมี และการกลั่นที่มีความท้าทายจาก Industry Landscape ที่เปลี่ยนไป จึงต้องเร่งเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบปิโตรเคมีระยะยาว”
ทั้งนี้ การนำเข้าอีเทนของ GC จะสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากความร่วมมือในกลุ่ม ปตท.ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ P1 และ D1 ซึ่งเป็นการบริหารจัดการ supply & market รวมถึงเร่งหา Strategic Partner เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจ
ปรับพอร์ตธุรกิจ-ลดความเสี่ยงธุรกิจ
พร้อมปรับพอร์ตธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยประเมินธุรกิจใน 2 มุม คือ 1.ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractiveness) และ 2. ปตท.มี Right to Play มีความถนัดหรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และ ปตท.มีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้
1. ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV Value Chain ปตท.จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Horizon Plus และธุรกิจเสี่ยง
2. ธุรกิจโลจิสติกส์ เช่น การขนส่งผลไม้โดยรถไฟ ซึ่ง ปตท.ออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของกลุ่ม และเน้นเฉพาะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก และสร้าง Synergy ภายในกลุ่มได้ เช่น เพิ่มธุรกิจ Oil & Gas ซึ่งการมีถังท่าเรือเพื่อร่วมธุรกิจ ลดการลงทุนซ้ำซ้อน สร้างความแข็งแรงมากขึ้น
รวมถึงธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เปลี่ยนให้พาร์ตเนอร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้นำเงินที่จะลงทุน 1.1 หมื่นล้านบาท มาสร้างรายได้ธุรกิจอื่น และมุ่งลงทุนสถานีชาร์จอีวีแทนที่ปัจจุบันมี 3,000 หัวชาร์จ
3.ธุรกิจ Life Science ปรับพอร์ตมุ่งเน้นเฉพาะ Pharmaceutical และ Nutrition มีแผนการเติบโตชัดเจนร่วมกับพันธมิตร และพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน ทั้งนี้จากการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ Non-Hydrocarbon ข้างต้นทำให้รักษาเงินลงทุนไว้ได้ แทนที่จะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจเสี่ยง และไม่สร้างผลกำไร
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







