ปตท. ย้ำ 3 สมดุลพลังงานโลก ชี้ก๊าซ จำเป็น หนุน 'มั่นคง-ยั่งยืน-ราคาถูก'

ปตท. ย้ำ 3 สมดุลพลังงานโลก ชี้ก๊าซ จำเป็น หนุน 'มั่นคง-ยั่งยืน-ราคาถูก'

"ปตท." ชี้พลังงานโลกต้องสมดุลใน 3 มิติ "คงกระพัน" ย้ำก๊าซธรรมชาติ ยังจำเป็น ชูบทบาท "มั่นคง-ยั่งยืน-ราคาเหมาะสม"

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา  iBusiness Forum Decode 2025: The Mid-Year Signal ถอดสัญญาณเศรษฐกิจโลก พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ว่า ทิศทางพลังงานโลก ขณะนี้มีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งระยะสั้น และระยะยาวส่งผลกระทบต่อราคา และความมั่นคงด้านพลังงาน โดยปัจจัยระยะสั้น ได้แก่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitic) ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันจากเงินเฟ้อ นโยบาย และกฎระเบียบที่ไม่แน่นอน และการขยายตัวทางดิจิทัล ส่วนปัจจัยระยะยาวได้แก่ การลดคาร์บอนเป็นความท้าทายหลัก การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์( Net Zero),เทคโนโลยีลดคาร์บอน ฯลฯ

ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนั้นทิศทางพลังงานจะต้องสมดุลกัน(balance)ใน 3 เรื่อง คือ ความมั่นคงพลังงาน ความยั่งยืน และพลังงานมีใช้ในราคาที่เหมาะสม

“ทิศทางวันนี้ มีความไม่แน่นอนสูง สหรัฐถอยเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือNet Zero ซึ่ง ปตท. ได้ติดตาม และพูดคุยกับบริษัทพลังงานระดับโลก ทุกคนเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าจะต้องมุ่งสู่ Net Zero แม้ว่าจะขรุขระบ้าง แต่ช้าเร็วก็ต้องทำ ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการพูดถึงความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ทุกวันนี้ความไม่แน่นอนมีสูงมากทั้งปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ ปตท.ให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน และความยั่งยืน ควบคู่กับการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

สำหรับการใช้พลังงานของโลกในปี 2566 - จนถึงปี 2593 มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึง 20% เนื่องจากยังมีข้อจำกัดเรื่องเสถียรภาพ และราคา ดังนั้น “ก๊าซธรรมชาติ” ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สะอาด จึงมีความสำคัญอยู่โดยมีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้นจาก 24%ในปี 2566 เป็น 26% 2593 ส่วนน้ำมันมีการใช้ลดลงจาก 31% เหลือ 28% แต่ถ่านหินการใช้ลดลงจาก 25% เหลือเพียง13%

โดยไทย และในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เห็นพ้องตรงกันว่า ใน 20-30 ปีข้างหน้า ก๊าซ จะยังเป็นเชื้อเพลิงหลักของโลก ซึ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถการผลิตก๊าซได้เองไม่ว่าจะเป็นไทย, เมียนมา, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ซึ่งตอบโจทย์ความมั่นคงทางพลังงาน แต่ไทยว่าจะผลิตก๊าซเอง แต่ไม่เพียงพอใช้ในประเทศจึงต้องรูปแบบของก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG ) ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางพลังงานโลก ฉะนั้นความมั่นคงทางพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงเน้นการใช้ก๊าซเป็นพลังงานหลักควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก 

ส่วนแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนมีทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน,การใช้พลังงานสะอาด, การปลูกป่า และการใช้กฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการดักจับ และการจัดเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage :CCS) 

 

 

 

โดยใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าโครงการ CCS จะเพิ่มขึ้น 500 โครงการ ปัจจุบันในสหรัฐมีโครงการ CCS มากถึง 100โครง รวมถึงการพัฒนาไฮโดรเจน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดแต่มีต้นทุนสูงอยู่ แต่อนาคตเมื่อต้นทุนไฮโดรเจนถูกลงจะมีการนำมาใช้มากขึ้นทั้งในโรงงานอุตสาหกรรม และผสมในเชื้อเพลิงก๊าซในโรงไฟฟ้า

สำหรับทิศทางพลังงานไทย ยังมีทั้งโอกาส และความท้าทาย ขณะที่นโยบายภาครัฐ คือ กระทรวงพลังงาน ก็วางทิศทางส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาเนื่องจากยังมีข้อจำกัดทั้งความเสถียรในการผลิต และต้นทุนราคาค่าไฟสูงจึงสะท้อนผ่านไปยังอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น แต่การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นของไทยเป็นเรื่องที่ดี ดังนั้น ก๊าซจึงยังมีบทบาทสำคัญ และมีสัดส่วนการใช้ไม่ได้ลดลงในระยะยาว โดยไทยมีการผลิตก๊าซในอ่าวไทยคิดเป็นสัดส่วน 50%ของการใช้ นำเข้าจากเมียนมา 15% และนำเข้าLNG ถึง 30% ดังนั้น ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งในประเทศเพิ่มขึ้น เพราะมีราคาถูก และช่วยลดความเสี่ยงจากการนำเข้าLNG ในช่วงที่เกิดสงครามจากต่างประเทศที่มีราคาสูง

“เราต้องให้ความสำคัญกับก๊าซ เพราะเป็นเชื้อเพลิงที่ไทยผลิตใช้เองส่วนใหญ่ นำเข้าบ้าง ควบคู่ไปกับการลดการเรือนกระจก เพราะถึงจุดหนึ่งการลดการปล่อยคาร์บอนจะถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า และมีการเก็บภาษี”

ดังนั้น ปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไทย ควรจะต้องส่งเสริม และเร่งการสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมแหล่งใหม่ๆ ,ปลดล็อก ข้อจำกัดด้านกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจน และCCS,การสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) 

ทั้งนี้ ปตท.ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติ มีบทบาทสำคัญในฐานะรัฐวิสาหกิจที่ดูแลความมั่นคงทางพลังงาน ส่งภาษี และรายได้ให้กับประเทศ อีกด้านก็เป็น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายได้และกำไรจากธุรกิจในประเทศเพียง20%ส่วนใหญ่มีการลงทุนและเติบโตในต่างประเทศ เช่น ปตท.สผ.ซึ่งเป็นบริษัทลูก แม้จะมีการลงทุนE&P ในประเทศส่วนหนึ่ง แต่ก็มีการออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อทำกำไรและสร้างความมั่นคงทางพลังงานในกับประเทศ 

ปัจจุบัน ปตท.มีการดำเนินธุรกิจที่หลักผ่าน ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม(E&P),ธุรกิจก๊าซฯครบวงจร และลงทุนคลังรับ-จ่ายLNG 3แห่งเพื่อรองรับการนำเข้าLNG,ธุรกิจเทรดดิ้ง,ธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น,ธุรกิจค่าปลีกน้ำมัน,ธุรกิจไฟฟ้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์