โปรเจกต์ค้าง“คมนาคม”รอครม.เคาะ “ไฮสปีดเทรน”จอดป้ายแก้ไขสัญญา

ที่มาในรูปแบบความท้าทายทางเศรษฐกิจ หรือ คู่แข่งทางการค้า กระทรวงคมนาคม จึงเร่งขับเคลื่อนโครงการต่างๆให้ได้ตามเป้าหมายเพื่อให้การพัฒนาครบลูปตามแผนที่ตั้งเป้าหมายไว้
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญตามนโยบาย ครั้งที่ 2/2568 เพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ว่า ความคืบหน้าโครงการสำคัญด้านการขนส่งทางราง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ - หนองคาย เพื่อมุ่งหวังเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม
โดยภาพรวมการเบิกจ่ายเงินกันเหลื่อมปี 2567 ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2568 วงเงิน 47,373.50 ล้านบาท ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเบิกจ่ายสะสมรวม 40,593.25 ล้านบาท หรือ 85.69% ขณะที่ผลการเบิกจ่ายด้านการลงทุน ณ สิ้นเดือนพ.ค. 2568 อยู่ที่ 93,000.54 ล้านบาท หรือ 43.82%
สำหรับการลงนามในสัญญารายการผูกพันใหม่ 326 รายการ วงเงิน 24,184.65 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพ.ค.2568 ลงนามในสัญญาแล้ว 67 สัญญา วงเงิน 1,311.37 ล้านบาท ภายหลังการปรับแผนในเดือนมิ.ย. 2568 จะลงนามในสัญญาได้ 79.45% และจะลงนามได้ 100% ภายในเดือนส.ค. 2568
ทั้งนี้การเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั้นเพื่อใช้สำหรับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ - หนองคาย ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ - นครราชสีมา ณ วันที่ 25 เม.ย. 2568 งานโยธามีผลงานสะสม 43.79% งานระบบราง ระบบไฟฟ้า และเครื่องกล รวมทั้งจัดหาขบวนรถไฟและจัดฝึกอบรมบุคลากร มีความคืบหน้า 0.95% ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย อยู่ระหว่างเตรียมเอกสารประกวดราคา
ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมมีโครงการที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ได้แก่ โครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ - ป่าตอง โครงการทางพิเศษสายฉลองรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก, โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ช่วงบางบัวทอง - บางปะอิน (M9)4. โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศ EV การขอทบทวนมติ
คณะรัฐมนตรี
ขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช เข้าด้วยกัน เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว ขออนุมัติจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ 946 คัน ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม เพื่อรองรับสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2
โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง ขอความเห็นชอบโครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 184 คัน พร้อมอะไหล่ ขอความเห็นชอบให้ดำเนินการ โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนรถด่วนพิเศษและรถด่วน 182 คัน พร้อมอะไหล่ และขอความเห็นชอบให้ดำเนิน โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า พร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า ความคืบหน้าก่อสร้างไฮสปีดเทรนไทยจีน ขณะนี้เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เหลือในส่วนของสัญญาที่ 4 - 1 ช่วงบางซื่อ - ดอนเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่โครงสร้างร่วมกับไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ทางเอกชนคู่สัญญาโครงการดังกล่าวจึงจะรับไปดำเนินการ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนแก้ไขร่างสัญญาในโครงการไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน โดยอัยการสูงสุดอยู่ระหว่างพิจารณา คาดว่าหากแล้วเสร็จ รฟท.ก็พร้อมเสนอ ครม.เพื่อแก้สัญญาและมีผลต่อการเริ่มก่อสร้างสัญญาที่ 4 - 1 ทันที
ส่วนสัญญาที่ 4 - 5 ช่วงบ้านโพ – พระแก้ว ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเริ่มงานก่อสร้างได้ เพราะติดปัญหาก่อสร้างพื้นที่สถานีอยุธยา มีข้อท้วงติงจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) หรือ ยูเนสโก ว่าการก่อสร้างสถานีอาจมีความเสี่ยงกระทบต่อมรดกโลก ปัจจุบันทางยูเนสโกได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ และการปรับแบบก่อสร้าง พร้อมบอกว่าดำเนินการได้ โดยหลังจากนี้ รฟท.เตรียมหารือกรมศิลปากรเพื่อปรับแบบก่อสร้าง และเริ่มกระบวนการลงนามสัญญา ออกหนังสืออนุญาตเอกชนเข้าพื้นที่ (NTP)
“การรถไฟฯ ตอนนี้ได้เตรียมดำเนินการประมูลงานก่อสร้างไฮสปีดไทยจีนเฟส 2 ต่อทันที โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำเอกสารประกวดราคา เบื้องต้นคาดว่าจะแบ่งสัญญาประมูลออกเป็น 8 สัญญา ประกอบด้วย งานโยธา 7 สัญญา และงานระบบ 1 สัญญา”
นายสุริยะ ยังกล่าวถึงความคืบหน้ามาตรการสมุดพกผู้รับเหมา โดยระบุว่า ขณะนี้กระทรวงฯ ได้จัดทำร่างแก้ไขกฎกระทรวงฯ ที่จะทำให้มาตรการสมุดพกผู้รับเหมามีผลบังคับใช้ เสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณารายละเอียดและจัดทำร่างแก้ไขระเบียบฯ ที่กำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขในการตัดแต้ม รวมถึงบทลงโทษการตัดสิทธิ์เข้าประมูลงานและการปรับลดชั้นผู้รับเหมา
“ตอนนี้กระทรวงฯ ได้จัดทำรายละเอียดที่จะแก้ไขกฎกระทรวงฯ มารองรับมาตรการตัดแต้มผู้รับเหมาเหล่านี้ ซึ่งจะมีผลกับโครงการใหม่หลังจากนี้ หากเกิดอุบัติเหตุจากความบกพร่องและมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหรือทรัพย์สินเสียหายจะต้องได้รับโทษตามกำหนด ปรับลดชั้นผู้รับเหมาซึ่งตัดสิทธิ์เข้าร่วมประมูลสูงสุด 2 ปี”
สำหรับมาตรการสมุดพกจะสามารถนำไปบังคับใช้สำหรับโครงการก่อสร้างใหม่ ถือเป็นการยกระดับข้อบังคับด้านความปลอดภัยในงานก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม ส่วนโครงการก่อสร้างภายใต้สัญญาเดิมยังไม่สามารถบังคับใช้ระเบียบใหม่ได้ แต่กระทรวงฯ ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานให้เข้าดูแลทุกโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลควบคุมงานตลอดเวลาให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด จนกว่างานก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามแผน







