เศรษฐกิจโลก - การเมือง กดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ จี้รัฐเจรจาสหรัฐ สกัดสินค้าสวมสิทธิ

เศรษฐกิจโลก - การเมือง กดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ จี้รัฐเจรจาสหรัฐ สกัดสินค้าสวมสิทธิ

ส.อ.ท. เผยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.68 ทรุดต่อเนื่อง ห่วงเศรษฐกิจโลก การเมืองไทยผันผวน แนะใช้สินค้าไทย สร้างงาน และอาชีพอย่างยั่งยืน หวังเจรจาสหรัฐ ปิดดีลด้วยดี พร้อมเข้มงวดตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิ และตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา SME เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขัน 

นายอภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมด้วยนายพิภพ โชควัฒนา กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และรองประธานสายงานเศรษฐกิจ และวิชาการ ร่วมเปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนเม.ย.2568 อยู่ที่ระดับ 89.9 ปรับตัวลดลง จาก 91.8 ในเดือนมี.ค.2568 ซึ่งเป็นผลจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลให้จำนวนวันทำงานลดลง 

ประกอบกับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ กระทบการส่งออก เช่น อัตราภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้า (Sectoral Tariff) 25% ในกลุ่มสินค้าชิ้นส่วน และอะไหล่ยนต์, เหล็ก และอะลูมิเนียม และการตอบโต้การทุ่มตลาด และการอุดหนุน (AD/CVD) ในสินค้าแผงโซลาร์เซลล์ 375% (เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2568) รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์แนวดิ่ง และกระทบต่อความเชื่อมั่นในภาคอสังหาริมทรัพย์ 

อีกทั้งสินค้านำเข้าจากจีน และปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้าไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สะท้อนจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าจากจีนที่เพิ่มขึ้นคิดเป็น 20.07%YoY (ณ ช่วงเดือนม.ค. - มี.ค. 2568) กระทบภาคการผลิตในประเทศ รวมถึงปัจจัยเรื่องของการส่งออกรถยนต์มีแนวโน้มลดลง โดยในเดือนมี.ค.2568 การส่งออกลดลง -9.36% (YoY) จากมาตรการขึ้นภาษีรถยนต์

 

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเดือนเม.ย.2568 ยังคงมีปัจจัยบวกจากการชะลอการบังคับใช้ Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน (สิ้นสุดช่วงต้นเดือนก.ค.2568) โดยยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้า Baseline Tariff 10% กับทุกประเทศ ส่งผลให้เกิดการเร่งนำเข้าสินค้าบางประเภทจากสหรัฐ เพื่อป้องกันการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น จากการจัดกิจกรรม Maha Songkran World Water Festival 2025 โดยในช่วงวันที่ 6–12 เม.ย.2568 มีนักท่องเที่ยวเข้าไทย 666,180 คน เพิ่มขึ้น 10.73% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย และรายได้ท่องเที่ยวในประเทศ 

เศรษฐกิจโลก - การเมือง กดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ จี้รัฐเจรจาสหรัฐ สกัดสินค้าสวมสิทธิ

รวมถึงมาตรการเยียวยาแผ่นดินไหว (วงเงินไม่เกิน 49,500 บาทต่อหลัง) และลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% (เริ่มวันที่ 22 เม.ย.2568) ส่งผลดีต่อคลัสเตอร์วัสดุก่อสร้างจากการใช้จ่ายในการซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,359 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. ในเดือนเม.ย.2568 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ 58.4% เศรษฐกิจโลก 58.0% และสถานการณ์การเมืองในประเทศ 44.0% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 36.2% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน 25.0% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 14.9%

ขณะที่ดัชนี คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 93.3 ลดลงจาก 95.7 ในเดือนมี.ค.2568 เนื่องจากผู้ประกอบยังคงห่วงกังวลในเรื่อง ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรม มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง และนักลงทุนอาจชะลอการลงทุน โดยเฉพาะในภาคการผลิตอุตสาหกรรม ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจสหรัฐ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว สะท้อนจากตัวเลข GDP สหรัฐ ไตรมาส 1 อยู่ที่ -0.3% และสภาพอากาศที่แปรปรวนส่งผลกระทบต่อปัญหาอุทกภัยในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้

"ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมาจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.75% ต่อปี ช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้ประกอบการและเพิ่มกระแสเงินสดให้กับธุรกิจ"

เศรษฐกิจโลก - การเมือง กดดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ จี้รัฐเจรจาสหรัฐ สกัดสินค้าสวมสิทธิ

ทั้งนี้ จากการที่สหรัฐ ประกาศภาษีตอบโต้ความเท่าเทียบ ทุกประเทศตกใจจากเดิมไทยโดนประกาศขึ้นภาษี 72% และลดลงมาเหลือ 36% และผ่อนผันเหลือ 10% ในเวลา 90 วัน ซึ่งหลายประเทศมีการเจรจา เช่น อังกฤษที่ผลเจรจาดีมากขึ้น บวกกับการที่จีนใช้เวทีที่สวิตเซอร์แลนด์ส่งผลให้มีการผ่อนผันและต่างถอยคนละก้าว ดังนั้น การลดภาษีจีนเหลือ 30% เป็นเวลา 90 วัน และจีนเก็บสหรัฐ 10% ที่ถือเป็นคู่แข่งขันกันจะสิ้นสุดช่วงเดือนส.ค. นี้  ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีในเชิงบวกได้บ้าง จึงเห็นว่าภาษีที่อาจจะเกิดขึ้นกับไทยน่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 10%

นอกจากนี้ จากตัวเลขสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศมา ก็ส่งภาพให้เห็นชัดเจนของเศรษฐกิจ จากไตรมาส 1 ที่ยังไม่มีอะไร เพราะเกิดดาวราหูย้ายทับโลกเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68 วันสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ทำให้ต่างฝ่ายต่างกักตุนสินค้า เร่งส่งออก เพราะกลัวมาตรการภาษี ด้วยนโยบายหาเสียงที่บอกว่าอย่างน้อยจะขึ้นภาษี 10-20% 

ดังนั้น หลังประกาศนโยบายสหรัฐ เริ่มขยายมาตรการ เช่น ขึ้นภาษีนำเข้าเม็กซิโก และแคนาดาทันที สร้างตระหนกให้ชาวโลก เมื่อรวมเหตุการณ์ต่างๆ ที่ถาโถมถือเป็นความท้าทาย เช่น แผ่นดินไหวที่ไม่เคยเกิด มีข่าวด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว รวมถึงแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยทั้งหมดนี้ส่งผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจมีโอกาสลดลง แต่ไทยยังมีโอกาสในส่วนของปัจจัยภายในประเทศ หากช่วยกัน เพราะไม่ใช่แค่รัฐบาล แต่คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน ส.อ.ท. พูดทุกครั้งว่าต้องสนับสนุนสินค้า "เมดอินไทยแลนด์

"อย่าเพิ่งเบื่อสิ่งที่เราเสนอ การใช้ของที่ผลิตในไทยจะช่วยคนไทยโดยตรง ซึ่งงบประมาณจะหมุนเวียนในประเทศ เกิดการจ้างงาน ถ้าวันนี้ยังใช้สินค้าราคาถูกแม้แต่ในแอปพลิเคชันก็ย้ำชวนให้อยากซื้อ แต่ก็ต้องช่วยตัดใจสนับสนุนสินค้าไทย หรือตัดใจช่วยกันประหยัดดีกว่า" 

ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่พูดเสมอคือ สนับสนุนการสร้างงาน จะเพียงพอหรือไม่ก็ไม่มีใครตอบได้ ต้องดูการเจรจากับสหรัฐ หากเป็นไปในทิศทางที่ดีจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้น เราคาดหวังว่าสิ่งที่ภาครัฐ และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ทำงานร่วมกัน และเสนอความร่วมมือต่างๆ เป็นแนวทางใกล้เคียงกับอังกฤษที่มีอยู่ใน 5 เรื่อง อาทิ สนับสนุนซื้อสินค้าเกษตร ตรวจสอบเข้มงวดสินค้าสวมสิทธิ และส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐ จะเป็นแนวโน้มที่ดีในอนาคต แต่อย่าคาดหวังว่าจะได้ต่ำกว่า 10% แต่จงคาดหวังว่าประเทศคู่ค้ากับไทยจะไม่ต่ำกว่า ดังนั้น ภายในจะต้องช่วยกัน 

ทั้งนี้ ส.อ.ท. มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ แบ่งเป็น 1. เสนอให้ภาครัฐเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าจากต่างประเทศที่เข้ามาสวมสิทธิใช้ประเทศไทยในการส่งออก เช่น การออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (C/O) การตรวจสอบกระบวนการผลิต และการนำเข้า/ส่งออกสินค้าสำเร็จรูปในพิกัดศุลกากรเดียวกัน และติดตามพฤติกรรมการค้าของผู้ประกอบการที่มีการส่งออกไปสหรัฐ

2. เสนอให้ภาครัฐจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านการตลาด และการส่งออกครบวงจรในระดับภูมิภาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในการเข้าถึงตลาด รวมทั้งการส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) 

3. สนับสนุนภาครัฐในการเจรจาความร่วมมือความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement - FTA) ตามแผนเพื่อเปิดตลาดสินค้า การค้า และการลงทุนในระดับสูง เช่น ไทย - สหภาพยุโรป (EU), ไทย - เกาหลีใต้ (KTEPA), ไทย - สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (CEPA) และ อาเซียน – แคนาดา (ACAFTA)

"ความกังวลกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งผลกระทบพรรคร่วมรัฐบาล และความเชื่อมั่นเสถียรภาพรัฐบาล อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาตรแข็งค่าเรื่อยๆ ในภูมิภาคค่าเงินมีผลการส่งออก ส่วนราคาน้ำมันกังวลลดลง โดยพลังงานลดลงจะเป็นผลบวกของภาคการผลิต ส่วนเงินกู้เมื่อมีการปรับลงอัตรานโยบายเหลือ 1.75% ต่อปี ช่วยลดต้นทุนการเงิน และเพิ่มกระแสเงินสดให้ภาคธุรกิจได้" นายอภิชิต กล่าว

นายอภิชิต ตอบคำถามเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินว่า ต้องมองว่าที่ผ่านมาทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจได้จริงจังหรือไม่ จากการวิเคราะห์ของสำนักต่างๆ อาจจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก ส่วนตัวมองว่าด้วยโจทย์ที่เปลี่ยนไป ผลที่จะเกิดข้างหน้ามีอะไรต่างไปบ้าง หากจะกระตุ้นผู้ประกอบการ และผู้ได้รับผลกระทบจะต้องเกิดการสร้างงาน จึงควรสนับสนุนสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย งบประมาณที่วางไว้จะหมุนกลับมาในประเทศ และทำให้ขยับเขยื้อนต่อไปได้ อีกส่วนคือ การท่องเที่ยว หากมีการกระตุ้นท่องเที่ยวจะส่งผลต่อซัพพลายเชน เช่น ขนมปัง ที่เป็นอุตสาหกรรมแป้ง และน้ำตาล เมื่อนักท่องเที่ยวลดลง การขายขนมปัง และแยมก็ลดลง กระทบห่วงโซ่อุปทานทั้งสิ้น 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์